บ่อยครั้งที่การค้นพบทางดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ได้มาจากความตั้งใจ แต่เกิดขึ้นโดยความบังเอิญในขณะที่นักวิทยาศาสตร์กำลังมองหาสิ่งอื่น
ในภารกิจสำรวจเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาล นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่มักมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการค้นคว้า แต่ด้วยความลึกลับและขนาดที่ไร้ขีดจำกัดของจักรวาล บางครั้งโชคชะตาก็นำพาพวกเขาไปพบกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่คาดคิดโดยสิ้นเชิง การค้นพบโดยความบังเอิญเหล่านี้ไม่เพียงแต่น่าทึ่ง แต่ยังมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการขยายขอบเขตความรู้ของมนุษยชาติ นี่คือ 10 สุดยอดการค้นพบแห่งความบังเอิญในโลกดาราศาสตร์
1. ดาวเคราะห์ยูเรนัส (ค.ศ. 1781)

ในปี ค.ศ. 1781 วิลเลียม เฮอร์เชล (William Herschel) นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ กำลังจัดทำบัญชีรายชื่อดวงดาวและได้สังเกตเห็นวัตถุจางๆ ที่เคลื่อนที่ช้าๆ ในกลุ่มดาวคนคู่ ตอนแรกเขาเชื่อว่ามันคือดาวหาง แต่เมื่อนักดาราศาสตร์คนอื่นๆ ช่วยกันคำนวณวงโคจร ก็พบว่านี่ไม่ใช่วัตถุพเนจร แต่เป็นดาวเคราะห์ดวงใหม่! ซึ่งต่อมาได้รับการตั้งชื่อว่า ดาวยูเรนัส นับเป็นดาวเคราะห์ดวงแรกที่ถูกค้นพบด้วยกล้องโทรทรรศน์
2. ซีรีส จากดาวเคราะห์น้อยสู่ดาวเคราะห์แคระ (ค.ศ. 1801)

เรื่องราวคล้ายกันเกิดขึ้นกับ จูเซปเป ปีอาซซี (Giuseppe Piazzi) นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี ขณะที่เขากำลังสร้างแผนที่ดวงดาวอย่างละเอียด เขาพบดาวประหลาดดวงหนึ่งที่เคลื่อนตำแหน่งไปเรื่อยๆ ตอนแรกเขาก็คิดว่าเป็นดาวหาง แต่สุดท้ายก็พบว่ามันคือดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่โคจรอยู่ระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี แม้ว่าภายหลัง ซีรีส (Ceres) จะถูกลดสถานะเป็นดาวเคราะห์น้อยดวงแรกที่ถูกค้นพบ และล่าสุดในปี ค.ศ. 2006 ก็ถูกจัดประเภทใหม่เป็น ดาวเคราะห์แคระ ก็ตาม
3. การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ (ค.ศ. 1859)

ขณะที่ ริชาร์ด แคร์ริงตัน (Richard Carrington) กำลังศึกษาจุดดับบนดวงอาทิตย์ (Sunspot) ในปี ค.ศ. 1859 เขาก็ได้เห็นแสงสว่างวาบเจิดจ้าอย่างรุนแรงปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน เหตุการณ์นี้คือ การลุกจ้า (Solar flare) ของดวงอาทิตย์ครั้งแรกที่มนุษย์บันทึกได้ ซึ่งส่งผลให้เกิดพายุแม่เหล็กโลกที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการศึกษาปรากฏการณ์บนดวงดาวของเรา
4. แหล่งกำเนิดรังสีเอ็กซ์ในห้วงอวกาศ (ค.ศ. 1962)

ทีมนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ นำโดย ริคคาร์โด จิอัคโคนี (Riccardo Giacconi) ตั้งใจจะทดลองว่า รังสีเอ็กซ์ จากดวงอาทิตย์สะท้อนออกจากดวงจันทร์หรือไม่ แต่สิ่งที่พวกเขาพบกลับยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก นั่นคือหลักฐานของ รังสีเอ็กซ์พื้นหลัง (X-ray background) ที่มาจากนอกระบบสุริยะ การค้นพบนี้เป็นแรงผลักดันให้เกิดการสร้างกล้องโทรทรรศน์รังสีเอ็กซ์จำนวนมาก ซึ่งช่วยไขปริศนาของเอกภพได้อีกมหาศาล
5. รังสีไมโครเวฟพื้นหลังของเอกภพ (ค.ศ. 1964)

ในปี ค.ศ. 1964 อาร์โน เพนเซียส (Arno Penzias) และโรเบิร์ต วิลสัน (Robert Wilson) กำลังทดสอบสายอากาศวิทยุและพบกับสัญญาณรบกวนคล้ายเสียงซ่าๆ ที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็กำจัดไม่หมด แม้กระทั่งไล่นกพิราบที่มาทำรังออกไปแล้วก็ตาม ในที่สุดพวกเขาก็ถึงบางอ้อว่า เสียงที่น่ารำคาญนั้นคือ #รังสีไมโครเวฟพื้นหลังของเอกภพ (Cosmic Microwave Background) ซึ่งเป็นแสงแรกเริ่มที่หลงเหลือจากการระเบิดครั้งใหญ่ หรือ “บิกแบง” (Big Bang) นั่นเอง การค้นพบนี้คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่สุดที่สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง
6. พัลซาร์ (ค.ศ. 1967)

โจเซลีน เบลล์ เบอร์เนลล์ (Jocelyn Bell Burnell) ซึ่งขณะนั้นยังเป็นนักศึกษาปริญญาโท ได้สังเกตเห็น “สัญญาณรบกวน” ที่แปลกประหลาดในข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์วิทยุที่เธอร่วมสร้าง มันเป็นสัญญาณที่กะพริบเป็นจังหวะสม่ำเสมออย่างน่าทึ่ง แม้เพื่อนร่วมงานจะไม่ใส่ใจ แต่เธอก็ยืนหยัดที่จะศึกษาต่อ จนกระทั่งยืนยันได้ว่านี่คือสัญญาณจากวัตถุชนิดใหม่ที่เรียกว่า พัลซาร์ (Pulsar) ซึ่งแท้จริงแล้วคือ ดาวนิวตรอน (Neutron star) ที่หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูง
7. การระเบิดของรังสีแกมมา (ค.ศ. 1967)

ในช่วงสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาได้ส่งดาวเทียมขึ้นไปเพื่อตรวจจับการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ของฝ่ายตรงข้าม แต่แล้วดาวเทียมกลับตรวจพบการระเบิดของรังสีแกมมาปริศนาจากอวกาศหลายครั้ง ซึ่งมีรูปแบบแตกต่างจากการทดลองนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง ในปี ค.ศ. 1973 ชุมชนดาราศาสตร์จึงได้รับแจ้งถึงการมีอยู่ของการระเบิดของรังสีแกมมา (Gamma-Ray Bursts – GRBs) ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่ปลดปล่อยพลังงานสูงที่สุดในเอกภพ
8. ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงแรก (ค.ศ. 1992)

นักดาราศาสตร์เชื่อมานานว่ามีดาวเคราะห์โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่น แต่ก็ไม่เคยมีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน จนกระทั่ง อเล็กซานเดอร์ โวลส์ชาน (Aleksander Wolszczan) และเดล เฟรล (Dale Frail) กำลังศึกษาพัลซาร์ดวงหนึ่ง และได้พบความผิดปกติในสัญญาณที่บ่งชี้ว่ามีดาวเคราะห์ถึง 2 ดวงกำลังโคจรรอบดาวนิวตรอนดวงนั้น นี่คือการค้นพบ ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ (Exoplanet) คู่แรกที่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ
9. หลักฐานของพลังงานมืด (ค.ศ. 1998)

ก่อนปี ค.ศ. 1998 นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าแม้เอกภพจะขยายตัวหลังบิกแบง แต่แรงโน้มถ่วงจะค่อยๆ ทำให้การขยายตัวนั้นช้าลง แต่แล้วทีมนักดาราศาสตร์ 2 ทีมที่ศึกษา ซูเปอร์โนวาชนิด 1a (Type 1a supernova) กลับพบว่ามันมีความสว่างน้อยกว่าที่ควรจะเป็นอย่างผิดปกติ ซึ่งบ่งชี้ว่าเอกภพไม่ได้ขยายตัวช้าลง แต่กำลังขยายตัวด้วยความเร่ง เพื่ออธิบายปรากฏการณ์นี้ นักวิทยาศาสตร์จึงเสนอแนวคิดเรื่อง พลังงานมืด (Dark Energy) ซึ่งเป็นแรงลึกลับที่ผลักกาแล็กซีให้แยกออกจากกัน
10. การระเบิดของคลื่นวิทยุปริศนา (ค.ศ. 2007)

ดูเหมือนว่าความบังเอิญหนึ่งจะนำไปสู่อีกความบังเอิญหนึ่งเสมอ ในปี ค.ศ. 2007 ดันแคน ลอริเมอร์ (Duncan Lorimer) และนักศึกษาของเขาได้ตรวจสอบข้อมูลเก่าๆ ของพัลซาร์ และพบสัญญาณวิทยุที่ประหลาดอย่างยิ่ง มันเป็นสัญญาณที่สว่างวาบขึ้นมาเพียง 5 มิลลิวินาที แต่ปลดปล่อยพลังงานออกมาเทียบเท่ากับที่ดวงอาทิตย์ปล่อยออกมาทั้งเดือน! การค้นพบนี้ถูกเรียกว่า การระเบิดของคลื่นวิทยุปริศนา (Fast Radio Bursts – FRBs) และจนถึงทุกวันนี้ ต้นกำเนิดของมันก็ยังคงเป็นหนึ่งในปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการดาราศาสตร์สมัยใหม่
เรื่องราวทั้ง 10 เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นดีว่า การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นจากแผนการที่วางไว้อย่างรัดกุมเสมอไป แต่กลับถือกำเนิดขึ้นจากความช่างสังเกต ความสงสัยในสิ่งผิดปกติ และการเปิดใจรับความเป็นไปได้ที่ไม่คาดฝัน จากการมองหาดาวหางไปสู่การพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ จากการกำจัดสัญญาณรบกวนไปสู่การได้ยินเสียงสะท้อนของบิกแบง การค้นพบโดยบังเอิญเหล่านี้ไม่เพียงแต่เติมเต็มหน้าประวัติศาสตร์ดาราศาสตร์ แต่ยังเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า เอกภพนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับที่รอคอยให้เราค้นพบอยู่เสมอ และบางทีการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ครั้งต่อไป อาจกำลังรอคอยเราอยู่ในที่ที่เรามองข้ามไปก็เป็นได้
ข้อมูลอ้างอิง: Gizmodo
- 10 Wild Things Astronomers Discovered While Chasing Something Else