
ภาพสร้อยไข่มุกแห่งอวกาศ ที่มุ่งหน้าสู่ดาวพฤหัสบดี คือหนึ่งในภาพจำอันเป็นสัญลักษณ์ของประวัติศาสตร์ดาราศาสตร์สมัยใหม่ นี่คือชิ้นส่วนของดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี 9 (Comet Shoemaker-Levy 9) ที่มอบบทเรียนสำคัญแก่มนุษยชาติ ทั้งในแง่ของความเข้าใจดาวเคราะห์เพื่อนบ้าน และการตระหนักถึงภัยคุกคามจากห้วงอวกาศที่อาจเกิดขึ้นกับโลกของเรา
ย้อนกลับไปในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537) วงการดาราศาสตร์ทั่วโลกได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานในเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อชิ้นส่วนของดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี 9 จำนวนกว่า 20 ชิ้น ได้พุ่งเข้าชนดาวพฤหัสบดี อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานเกือบหนึ่งสัปดาห์
ดาวหางดวงนี้ถูกค้นพบในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536) โดยทีมนักดาราศาสตร์ 3 คน ได้แก่ แคโรลิน ชูเมกเกอร์ (Carolyn Shoemaker), ยูจีน ชูเมกเกอร์ (Eugene Shoemaker) และเดวิด เลวี (David Levy) สิ่งที่ทำให้ดาวหางดวงนี้แตกต่างจากดาวหางทั่วไปคือ ลักษณะของมันที่ไม่ได้เป็นก้อนเดียว แต่กลับแตกออกเป็นชิ้นส่วนหลายชิ้นเรียงต่อกันเป็นสายยาว ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ดาวหางได้โคจรเข้าใกล้ดาวพฤหัสบดีมากเกินไปในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) จนถูกแรงโน้มถ่วงมหาศาลของดาวยักษ์ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะฉีกกระชากออกจากกัน
นักดาราศาสตร์คำนวณวงโคจรและพบว่า ชะตากรรมของ “ขบวนรถไฟแห่งอวกาศ” นี้คือการพุ่งเข้าชนดาวพฤหัสบดีในอีกสองปีข้างหน้า นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์สามารถพยากรณ์และเฝ้าสังเกตการณ์การชนกันของวัตถุในระบบสุริยะได้
ระหว่างวันที่ 16 ถึง 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1994 ชิ้นส่วนของดาวหางได้ทยอยพุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสบดีด้วยความเร็วสูงถึง 210,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การปะทะแต่ละครั้งปลดปล่อยพลังงานมหาศาล เกิดเป็นลูกไฟขนาดใหญ่และทิ้งรอยแผลเป็นจุดสีดำคล้ำไว้บนบรรยากาศชั้นบนของดาวเคราะห์อย่างชัดเจน รอยแผลที่เกิดจากชิ้นส่วนขนาดใหญ่ที่สุด มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบเท่าโลกทั้งใบ และสามารถมองเห็นได้นานหลายเดือนผ่านกล้องโทรทรรศน์บนโลกและกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble Space Telescope)
การชนครั้งนี้เปรียบเสมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหญ่ในธรรมชาติ ทำให้นักดาราศาสตร์ได้ศึกษาองค์ประกอบของชั้นบรรยากาศส่วนลึกของดาวพฤหัสบดีที่ไม่เคยเห็นมาก่อน การวิเคราะห์ทางสเปกโทรสโกปีเผยให้เห็นการมีอยู่ของโมเลกุลต่างๆ เช่น แอมโมเนีย (ammonia) และคาร์บอนไดซัลไฟด์ (carbon disulfide) ในปริมาณที่มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งบ่งชี้ว่าการชนได้ขุดเจาะเอาสสารจากชั้นบรรยากาศที่ลึกลงไปให้ฟุ้งกระจายขึ้นมา ข้อมูลเหล่านี้ได้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ปรับปรุงแบบจำลองโครงสร้างบรรยากาศของดาวพฤหัสบดีให้แม่นยำยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากความก้าวหน้าทางความรู้เกี่ยวกับดาวพฤหัสบดีแล้ว เหตุการณ์ชูเมกเกอร์-เลวี 9 ยังเป็นเสียงปลุกสำหรับชาวโลก มันแสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่า การชนของดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยไม่ใช่แค่เรื่องราวในอดีตที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ แต่เป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นได้จริงในระบบสุริยะ
การชนครั้งนี้กระตุ้นให้หน่วยงานอวกาศทั่วโลก โดยเฉพาะองค์การนาซา (NASA) หันมาให้ความสำคัญกับโครงการการป้องกันดาวเคราะห์ (Planetary Defense) อย่างจริงจัง นำไปสู่การจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรเพื่อพัฒนาระบบตรวจจับและติดตามวัตถุใกล้โลก (Near-Earth Objects หรือ NEOs) เพื่อเฝ้าระวังและประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับโลกในอนาคต
————–
ข้อมูลอ้างอิง: NASA
– The Lasting Impacts of Comet Shoemaker-Levy 9