ในช่วงเย็นวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ผู้คนในหลายจังหวัดทางภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยได้ร่วมเป็นประจักษ์พยานของปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เมื่อมีลูกไฟขนาดใหญ่สว่างวาบข้ามท้องฟ้า สร้างความประหลาดใจและคำถามมากมาย เบื้องต้นนักดาราศาสตร์คาดการณ์ว่าวัตถุท้องฟ้าดังกล่าวคือ “ดาวตกชนิดระเบิด” (Bolide) ซึ่งเป็นดาวตกที่มีความสว่างเป็นพิเศษ แม้จะมีความสว่างมาก แต่ก็ไม่มีรายงานความเสียหายหรืออันตรายใด ๆ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับยานอวกาศจากภารกิจใด ๆ
ลักษณะและการปรากฏของลูกไฟเหนือฟากฟ้า
ปรากฏการณ์ดังกล่าวถูกรายงานเมื่อเวลาประมาณ 17:07 น. โดยมีการพบเห็นอย่างชัดเจนในหลายพื้นที่ เช่น จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา และน่าน จากคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย นักดาราศาสตร์สันนิษฐานว่าลูกไฟนี้คือ ดาวตกชนิดระเบิด (Bolide) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกดาวตกที่มีความสว่างมากเป็นพิเศษ (Bright Meteor) และมักจะเริ่มลุกไหม้และสว่างจ้าในระดับความสูงประมาณ 80 ถึง 120 กิโลเมตร เหนือพื้นผิวโลก ด้วยความสูงและขนาดดังกล่าวทำให้สามารถสังเกตเห็นได้จากพื้นที่กว้างขวาง โดยเฉพาะในบริเวณภาคเหนือตอนบน
ดาวตกเกิดขึ้นเมื่อ “สะเก็ดดาว” (Meteoroid) ซึ่งเป็นเศษหินหรือโลหะขนาดเล็กจากอวกาศโคจรเข้ามาในชั้นบรรยากาศของโลกด้วยความเร็วสูง และเกิดการเสียดสีกับโมเลกุลอากาศจนเกิดการลุกไหม้เป็นแสงสว่างวาบที่เราเรียกว่า “ดาวตก” หรือ “ผีพุ่งไต้” (Meteor) ส่วนดาวตกชนิดระเบิดนั้นเกิดจากสะเก็ดดาวที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ
ประเด็นที่หลายคนสงสัยคือ ลูกไฟนี้เกี่ยวข้องกับการกลับสู่โลกของยานอวกาศหรือไม่?
- ภารกิจเสินโจว-20 (Shenzhou 20)
มีการยืนยันว่าลูกไฟนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับยานบรรทุกนักบินอวกาศจากสถานีอวกาศเทียนกงของจีนแต่อย่างใด เนื่องจากยานในภารกิจเสินโจว-20 ได้เดินทางถึงพื้นผิวโลกบริเวณมองโกเลียใน ทางตอนเหนือของจีนแล้วเมื่อเวลา 15:30 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าการปรากฏของลูกไฟดวงนี้ - ฝนดาวตกประจำเดือนพฤศจิกายน
นักดาราศาสตร์ได้ตรวจสอบข้อมูลฝนดาวตกที่เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน เช่น ฝนดาวตกชุดลีโอนิดส์ (Leonids) ทอริดส์ (Taurids) และ โอไรออนิดส์เดือนพฤศจิกายน (November Orionids) แล้วไม่สามารถระบุได้ว่า ดาวตกชนิดระเบิดดวงนี้สัมพันธ์กับสายธารสะเก็ดดาวของฝนดาวตกชุดใด ๆ เนื่องจากกลุ่มดาวที่เป็นศูนย์กลางการกระจายตัวของฝนดาวตกเหล่านั้นยังไม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับการสังเกตในประเทศไทย ณ ช่วงเวลาดังกล่าว
ดังนั้น จึงเป็นไปได้สูงว่าลูกไฟนี้คือสะเก็ดดาวที่โคจรเข้ามายังโลกโดยอิสระ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
แม้ว่าดาวตกชนิดระเบิดนี้จะไม่ใช่ “วัตถุใกล้โลก” (Near-Earth Object: NEO) ที่ถูกเฝ้าระวัง แต่การตกของวัตถุจากอวกาศสู่โลกนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน
นักดาราศาสตร์มีการประเมินว่ามีสะเก็ดดาวตกลงสู่โลกโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 48.5 ตันต่อวัน อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่จะเผาไหม้จนหมดสิ้นไปในชั้นบรรยากาศ และหากมีเศษชิ้นส่วนเหลือรอดมาถึงพื้นผิวโลกในรูปของ “อุกกาบาต” (Meteorite) โอกาสที่จะตกลงในมหาสมุทรหรือพื้นที่รกร้างนั้นสูงกว่าพื้นที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่มาก
องค์การนาซา (NASA) โดยศูนย์การศึกษาวัตถุใกล้โลก (CNEOS) ยังคงทำการสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลของวัตถุใกล้โลกอย่างต่อเนื่อง ข้อมูล ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 แสดงให้เห็นว่า
- มีการตรวจพบดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกแล้วเกือบ 40,000 ดวง
- วัตถุขนาดใหญ่ (ใหญ่กว่า 1 กิโลเมตร) ที่เป็นภัยคุกคามหลักต่อโลกนั้น ถูกตรวจพบเกือบหมดแล้วและมีการคำนวณวงโคจรยืนยันว่าไม่มีความเสี่ยงต่อการพุ่งชนในอนาคตอันใกล้
- วัตถุขนาดเล็กที่มีขนาดเพียงไม่กี่เมตรนั้นเป็นกลุ่มที่ยังตรวจพบได้ไม่หมด เนื่องจากขนาดที่เล็กและความห่างไกลในระดับล้านกิโลเมตร แต่การพัฒนาทางเทคโนโลยี เช่น กล้องโทรทรรศน์และระบบคำนวณวงโคจร กำลังช่วยให้นักดาราศาสตร์ตรวจพบวัตถุเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
การปรากฏของดาวตกชนิดระเบิดในครั้งนี้จึงเป็นเพียงหนึ่งในหลักฐานของปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลกกับเศษชิ้นส่วนในระบบสุริยะ และยังย้ำเตือนถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังและศึกษาวัตถุอวกาศเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง
อ้างอิงข้อมูลจาก: สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.)