
การเดินทางระหว่างดวงดาวที่กินระยะเวลานับล้านปีดูเหมือนเป็นเรื่องจากนิยายวิทยาศาสตร์ แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้วนี่คือความท้าทายที่รอการแก้ไข ศาสตราจารย์ อาวิ โลบ (Avi Loeb) จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้จุดประกายแนวคิดที่น่าสนใจว่า ยานอวกาศสำหรับภารกิจเดินทางข้ามดวงดาวในระยะยาวนั้นควรมีขนาดใหญ่ และยิ่งใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น
ดร. โลบ อธิบายหลักการเบื้องหลังแนวคิดนี้ว่า เมื่อยานอวกาศต้องเผชิญหน้ากับการเดินทางที่ยาวนานเป็นล้านหรือกระทั่งพันล้านปี ยานจะถูกรบกวนจากปัจจัยภายนอกหลายอย่าง เช่น การสูญเสียความร้อนจากภายใน หรือความเสียหายจากอนุภาคและรังสีในอวกาศ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนสัมพันธ์กับพื้นที่ผิวของยาน ในทางกลับกัน ทรัพยากรสำคัญที่ใช้ในการดำรงชีพ เช่น อาหาร น้ำ หรือแม้แต่แหล่งพลังงานจะสัมพันธ์กับปริมาตรของยานมากกว่า ด้วยเหตุนี้ ยานที่มีขนาดใหญ่กว่าจึงมีอัตราส่วนพื้นที่ผิวต่อปริมาตรที่ต่ำกว่า ทำให้สามารถเก็บรักษาความร้อนและทรัพยากรภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันรังสีอันตรายจากภายนอกได้ดีขึ้นอีกด้วย
นอกเหนือจากเรื่องการป้องกันแล้ว ยานอวกาศขนาดมหึมายังมีข้อได้เปรียบสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของมนุษย์ การเดินทางที่กินเวลาหลายชั่วอายุคนจำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัย ยานขนาดใหญ่สามารถสร้างแรงโน้มถ่วงเทียม ได้จากการหมุนรอบตัวเอง ซึ่งช่วยรักษาสุขภาพของลูกเรือไม่ให้ได้รับผลกระทบจากภาวะไร้น้ำหนักเป็นเวลานาน นอกจากนี้ ยานขนาดใหญ่ยังสามารถรองรับเตาปฏิกรณ์พลังงานฟิวชันขนาดใหญ่เพื่อเป็นแหล่งพลังงานหลัก และสามารถสร้างระบบนิเวศจำลองที่คล้ายโลกเพื่อผลิตอาหารและทรัพยากรให้เพียงพอต่อประชากรจำนวนมากได้อย่างยั่งยืน
แนวคิดเรื่องยานอวกาศขนาดใหญ่ยังได้รับการสนับสนุนจาก แฟรงก์ ลอเคียน (Frank Laukien) นักวิทยาศาสตร์อีกคนที่เสนอว่า วัตถุระหว่างดวงดาวที่เคยถูกตรวจจับได้ เช่น 3I/ATLAS ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20-46 กิโลเมตร อาจเป็นตัวอย่างของ “โครงสร้างเทคโนโลยีขนาดมหึมา” ที่จำเป็นต่อการเดินทางข้ามดวงดาวในอนาคต เขาเปรียบเทียบยานขนาดใหญ่กับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวใหญ่ในยุคน้ำแข็งที่สามารถรักษาอุณหภูมิในร่างกายได้ดีกว่าสัตว์ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับที่ยานอวกาศขนาดใหญ่จะสามารถป้องกันตัวเองจากสภาพแวดล้อมที่รุนแรงในอวกาศได้
โดยสรุปแล้ว ศาสตราจารย์โลบเชื่อว่าการค้นพบใหม่ๆ ในอวกาศ เช่น วัตถุ 3I/ATLAS และการศึกษาปรากฏการณ์ที่อธิบายไม่ได้ (Unidentified Anomalous Phenomena – UAP) จะสามารถเป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้มนุษยชาติก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการเดินทางข้ามดวงดาวอย่างแท้จริงในอนาคต
ข้อมูลอ้างอิง: Avi Loeb
- Bigger is Better for Interstellar Spacecraft