เกิดเหตุการณ์ลูกไฟสว่างวาบพาดผ่านท้องฟ้า สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้คนจำนวนมากในช่วงกลางดึกของวันที่ 25 ตุลาคม 2568 บริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกของไทย พร้อมเสียงดังสนั่นตามมาในบางพื้นที่ เบื้องต้นผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเป็น “ดาวตกชนิดระเบิด” (Bolide) ซึ่งมีความสว่างยิ่งกว่าดวงจันทร์เต็มดวง และคาดว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของฝนดาวตกโอไรออนิดส์ ปรากฏการณ์นี้ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ และไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุอันตรายใกล้โลกที่อยู่ในบัญชีเฝ้าระวัง
ดาวตกชนิดระเบิด (Bolide) คืออะไร?
สิ่งที่หลายคนเห็นนั้น ไม่ใช่ดาวตกธรรมดา แต่เป็นดาวตกชนิดพิเศษที่เรียกว่า “Bolide” (โบไลด์) หรือ “ดาวตกชนิดระเบิด” ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกดาวตกที่มีความสว่างมากเป็นพิเศษ โดยตามหลักเกณฑ์ทางดาราศาสตร์ จะต้องมีความสว่างมากกว่าค่าแมกนิจูดปรากฏ (Apparent Magnitude) -14.0
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองนึกดูว่าดวงจันทร์เต็มดวงในคืนที่ฟ้าโปร่งที่สุดมีความสว่างประมาณ -12.6 นั่นหมายความว่าดาวตกชนิดระเบิดที่พาดผ่านท้องฟ้าในครั้งนี้ สว่างกว่าดวงจันทร์เต็มดวงเสียอีก โดยทั่วไปแล้ว วัตถุเหล่านี้จะเผาไหม้ที่ระดับความสูงประมาณ 80 ถึง 120 กิโลเมตรจากพื้นโลก ด้วยความสว่างระดับนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่สามารถมองเห็นได้เป็นวงกว้างในหลายจังหวัด
เกี่ยวข้องกับฝนดาวตกโอไรออนิดส์อย่างไร?
ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นี้ อยู่ในระหว่างปรากฏการณ์ “ฝนดาวตกโอไรออนิดส์” (Orionids Meteor Shower) ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีระหว่างวันที่ 2 ตุลาคม – 7 พฤศจิกายน ฝนดาวตกนี้เกิดจากเศษซากที่ “ดาวหางฮัลเลย์” (Halley’s Comet) ทิ้งไว้ในวงโคจร เมื่อโลกโคจรผ่านเข้าไปในธารของเศษฝุ่นและหินเหล่านี้ พวกมันก็จะพุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกด้วยความเร็วสูงและลุกไหม้กลายเป็นดาวตก
โดยทั่วไปแล้ว เศษซากเหล่านี้จะมีขนาดเล็กเหมือนเม็ดทรายหรือก้อนกรวด แต่ดาวตกชนิดระเบิดที่เกิดขึ้นครั้งนี้ คาดว่าเกิดจากเศษวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ อาจใหญ่เท่าก้อนหินหรือใหญ่กว่านั้น เมื่อมันเสียดสีกับชั้นบรรยากาศจึงเกิดการระเบิดและสว่างวาบอย่างที่เห็น แม้ว่าช่วงเวลาที่ดาวตกโอไรออนิดส์ตกชุกที่สุดได้ผ่านไปแล้ว (คืนวันที่ 21-22 ตุลาคม) แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงที่ลูกไฟดวงนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของฝนดาวตกดังกล่าว
น่ากังวลหรือไม่? และต่างจากวัตถุใกล้โลก (NEO) อย่างไร
ขอให้ทุกคนสบายใจได้ว่าวัตถุที่ก่อให้เกิดดาวตกครั้งนี้มีขนาดเล็กและเผาไหม้หมดในชั้นบรรยากาศก่อนจะถึงพื้นโลก จึงไม่เป็นอันตรายใดๆ
หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุใดเราจึงไม่รู้ล่วงหน้าเรื่องนี้ คำตอบคือวัตถุขนาดเล็กเช่นนี้ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูล “วัตถุใกล้โลก” (Near-Earth Object: NEO) ที่องค์การนาซา (NASA) และหน่วยงานดาราศาสตร์ทั่วโลกเฝ้าติดตาม
จากข้อมูลของศูนย์การศึกษาวัตถุใกล้โลก (CNEOS) ของนาซา พบว่าปัจจุบันมีการค้นพบวัตถุใกล้โลกแล้วเกือบ 40,000 ดวง โดยเฉพาะวัตถุขนาดใหญ่กว่า 1 กิโลเมตร ถูกค้นพบเกือบทั้งหมดแล้วและได้รับการยืนยันว่าไม่มีความเสี่ยงที่จะชนโลกในอนาคตอันใกล้ แต่สำหรับวัตถุขนาดเล็กเพียงไม่กี่เมตร การตรวจจับจากระยะไกลยังคงเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่งสำหรับเทคโนโลยีในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม นักดาราศาสตร์ทั่วโลกกำลังพัฒนาเทคโนโลยีและเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์เพื่อตรวจหาวัตถุเหล่านี้ให้ได้มากขึ้น เพื่อสร้างระบบป้องกันและแจ้งเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพในอนาคต
ข้อมูลอ้างอิง: สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.)