
โลก (Earth) คือดาวเคราะห์ลำดับที่ 3 จากดวงอาทิตย์ และเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ในระบบสุริยะของเรา โลกเป็นดาวเคราะห์หิน (terrestrial planet) เพียงดวงเดียวที่เรารู้จักว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ และเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่มีน้ำในสถานะของเหลวอยู่บนพื้นผิว และมีคุณสมบัติที่พิเศษหลายอย่างที่ทำให้มันเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตอย่างยิ่ง
โลกของเราเกิดขึ้นได้อย่างไร?
โลกของเราก่อตัวขึ้นเมื่อประมาณ 4,500 ล้านปีก่อน จากการรวมตัวกันของแก๊สและฝุ่นละอองที่โคจรอยู่รอบ ๆ ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นใหม่ โครงสร้างภายในของโลกแบ่งออกเป็น 4 ชั้นหลัก ได้แก่
- แกนใน (Inner Core) เป็นส่วนที่ร้อนที่สุดและอยู่ใจกลางโลก ประกอบด้วยเหล็ก (iron) และนิกเกิล (nickel) ในสถานะของแข็ง แม้ว่าจะมีอุณหภูมิสูงกว่าพื้นผิวของดวงอาทิตย์ แต่แรงดันมหาศาลก็ทำให้มันยังคงเป็นของแข็งได้
- แกนนอก (Outer Core) เป็นชั้นที่อยู่รอบแกนใน ประกอบด้วยเหล็กและนิกเกิลในสถานะของเหลว การไหลเวียนของโลหะหลอมเหลวนี้เองที่ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กโลก (magnetic field) ที่แข็งแกร่ง
- เนื้อโลก (Mantle) เป็นชั้นที่หนาที่สุดของโลก ประกอบด้วยหินซิลิเกต (silicate rock) ที่กึ่งหลอมเหลวและมีความหนืดสูง
- เปลือกโลก (Crust) เป็นชั้นนอกสุดที่บางและแข็งที่เราอาศัยอยู่ เปลือกโลกนี้ไม่ได้เป็นแผ่นเดียวกัน แต่แบ่งออกเป็นแผ่นเปลือกโลก (tectonic plates) หลายแผ่น ซึ่งการเคลื่อนที่ของแผ่นเหล่านี้อย่างช้า ๆ ทำให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และการก่อตัวของภูเขาต่าง ๆ เช่นเทือกเขาหิมาลัย
บรรยากาศและน้ำ ปัจจัยสำคัญของชีวิต
ชั้นบรรยากาศของโลกประกอบด้วยไนโตรเจน (nitrogen) 78%, ออกซิเจน (oxygen) 21% และแก๊สอื่น ๆ อีก 1% โดยชั้นบรรยากาศนี้ทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลต (ultraviolet radiation) ที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์ การควบคุมอุณหภูมิผิวโลกให้คงที่ผ่านปรากฏการณ์เรือนกระจก (greenhouse effect) และการทำให้อุกกาบาตส่วนใหญ่เผาไหม้ไปก่อนที่จะตกถึงพื้นผิว
น้ำในสถานะของเหลวเป็นอีกคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิต น้ำครอบคลุมพื้นผิวโลกมากถึง 71% และมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพภูมิอากาศและการหมุนเวียนของพลังงานทั่วโลก
สนามแม่เหล็กโลกที่เกิดจากแกนเหล็กหลอมเหลวนี้สร้างเกราะป้องกันที่เรียกว่า แมกนีโตสเฟียร์ (magnetosphere) ซึ่งทำหน้าที่เบี่ยงเบนอนุภาคพลังงานสูงที่เป็นอันตรายจากลมสุริยะ (solar wind) ไม่ให้เข้าถึงพื้นผิวโลก ปรากฏการณ์นี้ทำให้เรามองเห็นแสงเหนือ (aurora borealis) และแสงใต้ (aurora australis) ในแถบขั้วโลก
นอกจากนี้ โลกยังมีดวงจันทร์ (moon) เพียงดวงเดียวซึ่งมีอิทธิพลต่อโลกของเราอย่างมาก แรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง (tides) และยังช่วยให้แกนหมุนของโลกมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลให้สภาพภูมิอากาศของโลกมีความคงที่และไม่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
ข้อมูลอ้างอิง: NASA Science
- Earth Facts