
จริงหรือไม่? เมื่อมองลงมาที่โลกจากสถานีอวกาศนานาชาติ เราจะมองเห็นแต่ผืนน้ำ
แมตเธียส เมาเรอร์ (Matthias Maurer) นักบินอวกาศและนักวิทยาศาสตร์ด้านวัสดุศาสตร์ชาวเยอรมัน สังกัดองค์การอวกาศยุโรป (ESA) ผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็นนักบินอวกาศเมื่อปี พ.ศ. 2558 ได้เปิดเผยเรื่องราวอันน่าประทับใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิตและการปฏิบัติภารกิจบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ผ่านการตอบคำถามจากเยาวชนผู้มีความสนใจในเรื่องราวของอวกาศ
หนึ่งในประสบการณ์ที่น่าประทับใจของเขาคือทัศนียภาพอันกว้างใหญ่ของโลกจากมุมมองที่แตกต่างออกไป “เมื่อเราโคจรอยู่ที่ความสูงประมาณ 400 กิโลเมตรเหนือพื้นโลก ผมประมาณการว่าเราสามารถมองเห็นรัศมีโดยรอบสถานีอวกาศนานาชาติได้ไกลถึง 2,000-3,000 กิโลเมตร นั่นหมายความว่าเราไม่ได้เห็นโลกทั้งใบในคราวเดียว แต่เราจะมองเห็นเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ของโลกที่ค่อยๆ เลื่อนผ่านไป ตัวอย่างเช่น ในวงโคจรหนึ่ง เราอาจจะเคลื่อนที่ผ่านทวีปอเมริกาเหนือ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ผ่านระหว่างทวีปแอฟริกาและทวีปละตินอเมริกา จากนั้นก็เดินทางต่อไประหว่างทวีปแอฟริกากับทวีปแอนตาร์กติกา และเลยไปยังทวีปออสเตรเลีย”
เมาเรอร์ยังกล่าวถึงสัดส่วนของพื้นผิวโลกที่ปกคลุมด้วยน้ำว่า “โดยหลักการแล้ว ในเส้นทางการโคจรจากทวีปอเมริกาเหนือไปยังทวีปออสเตรเลียนั้น ส่วนใหญ่เราจะมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากผืนน้ำอันกว้างใหญ่ เนื่องจาก 71% ของพื้นผิวโลกของเรานั้นถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ ทำให้เมื่อผมอยู่ในอวกาศ ผมจึงเข้าใจถึงภาพรวมนี้ได้ดียิ่งขึ้น และจริงๆ แล้วเรามักจะโคจรอยู่เหนือมหาสมุทรเกือบตลอดเวลา”
อย่างไรก็ตาม นักบินอวกาศชาวเยอรมันยังได้เล่าถึงเส้นทางโคจรที่สร้างความตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษว่า “แต่สำหรับการโคจรที่ผ่านจากทวีปแอฟริกา ข้ามผ่านเทือกเขาหิมาลัย (Himalayas) ซึ่งเป็นแนวเทือกเขาที่ยิ่งใหญ่และสวยงามมาก จากนั้นก็จะเป็นทวีปเอเชีย (Asia) และประเทศญี่ปุ่น (Japan) ซึ่งเป็นเส้นทางการโคจรที่ยาวไกลและเต็มไปด้วยทัศนียภาพที่งดงามอย่างแท้จริง”
นอกเหนือจากทัศนียภาพอันน่าทึ่งของโลกแล้ว แมตเธียส เมาเรอร์ ยังได้แบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับการทำงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่หลากหลายบนสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการลอยฟ้าที่เปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกได้ทำการทดลองในสภาพแวดล้อมที่มีแรงโน้มถ่วงต่ำ หรือไมโครกราวิตี (Microgravity) ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่สามารถจำลองได้อย่างสมบูรณ์บนโลก
“การทดลองที่เราทำบนสถานีอวกาศนั้นมีความหลากหลายมาก ตั้งแต่การศึกษาพฤติกรรมของวัสดุต่างๆ ในสภาวะไร้น้ำหนัก การทดลองทางชีววิทยาเพื่อทำความเข้าใจการเจริญเติบโตของพืชและเซลล์ในอวกาศ ไปจนถึงการทดลองทางการแพทย์เพื่อศึกษาผลกระทบของสภาพแวดล้อมในอวกาศต่อร่างกายมนุษย์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางสำรวจอวกาศในระยะยาว รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและองค์ความรู้ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตบนโลกของเราด้วย” เมาเรอร์กล่าว
องค์การอวกาศยุโรป (ESA) มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภารกิจของนักบินอวกาศและการดำเนินงานของสถานีอวกาศนานาชาติ โดยมีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยี การขนส่งนักบินอวกาศ และการทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือระหว่างนานาชาติบนสถานีอวกาศแห่งนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของมนุษยชาติในการสำรวจและทำความเข้าใจจักรวาลอันกว้างใหญ่
ข้อมูลอ้างอิง: ESA
You may also like
เรื่องยอดนิยม
9 เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน ที่มาจากการสำรวจอวกาศ (3,459)
บัซ อัลดริน (Buzz Aldrin) นักบินอวกาศนาซา (3,177)
จีนเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจอวกาศห้วงลึก หลังจากเก็บตัวอย่างด้านไกลของดวงจันทร์ (2,759)
ดินดวงจันทร์จากยานฉางเอ๋อ 5 ในงาน อว. แฟร์ 22-28 ก.ค. 67 (2,716)
SpaceX กำหนดปล่อยภารกิจ Polaris Dawn จะมีการเดินอวกาศ (Spacewalk) โดยเอกชนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ (2,546)