
เมื่อพูดถึงการสำรวจอวกาศ หลายคนคงนึกถึงองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) ของสหรัฐอเมริกา หรือองค์การอวกาศแห่งชาติจีน (CNSA) แต่ในอีกซีกโลกหนึ่ง ภูมิภาคยุโรปเองก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน และหน่วยงานที่เป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าระดับนี้ก็คือ องค์การอวกาศยุโรป (European Space Agency: ESA) องค์กรระหว่างประเทศที่รวมความร่วมมือของชาติยุโรปเข้าไว้ด้วยกันเพื่อพิชิตความท้าทายในห้วงอวกาศ
การเดินทางของ ESA ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน หากแต่เป็นผลพวงจากการรวมตัวและเรียนรู้จากความสำเร็จและความล้มเหลวขององค์กรในอดีต ต้นกำเนิดของ ESA ย้อนกลับไปได้ถึงช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งเป็นยุคเริ่มต้นของการแข่งขันด้านอวกาศระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต ชาติในยุโรปตระหนักดีว่าการจะแข่งขันในเวทีระดับโลกได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ แทนที่จะต่างคนต่างพัฒนาโครงการของตนเอง
จึงมีการจัดตั้งองค์กรขึ้นมาสองแห่งเพื่อทำหน้าที่ที่แตกต่างกัน ได้แก่ องค์การวิจัยอวกาศยุโรป (European Space Research Organisation: ESRO) ซึ่งเน้นไปที่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการพัฒนาจรวดส่งดาวเทียมเพื่อการสำรวจ และองค์การพัฒนาจรวดยุโรป (European Launcher Development Organisation: ELDO) ซึ่งรับผิดชอบการสร้างยานส่ง (Launcher) หรือจรวดนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การทำงานแยกกันของทั้งสององค์กรกลับสร้างความยุ่งยากและไร้ประสิทธิภาพ โครงการของ ESRO ต้องการจรวด แต่จรวดของ ELDO ก็ประสบปัญหาทางเทคนิคและงบประมาณอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชาติสมาชิกเห็นพ้องต้องกันว่าจำเป็นต้องควบรวมองค์กรทั้งสองเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างเป็นเอกภาพมากขึ้น และในที่สุด วันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) อนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งองค์การอวกาศยุโรป จึงมีผลบังคับใช้ เป็นการก่อตั้ง ESA อย่างเป็นทางการ โดยมีสมาชิกแรกเริ่ม 10 ประเทศ ได้แก่ เบลเยียม เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เยอรมนี ไอร์แลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร
ภารกิจและเป้าหมายของ ESA
นับตั้งแต่ก่อตั้ง ESA มีเป้าหมายหลักคือการพัฒนาศักยภาพด้านอวกาศของยุโรป และสร้างความมั่นใจว่าการลงทุนในอวกาศจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พลเมืองของยุโรปและทั่วโลก ภารกิจขององค์กรครอบคลุมหลากหลายด้าน ได้แก่
- การพัฒนายานส่งอวกาศ (Launchers): โครงการที่สำคัญที่สุดของ ESA คือตระกูลจรวดอาเรียน (Ariane) ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงในการส่งดาวเทียมเชิงพาณิชย์ขึ้นสู่วงโคจร ทำให้ยุโรปกลายเป็นผู้เล่นหลักในตลาดการขนส่งอวกาศ
- การสำรวจทางวิทยาศาสตร์ (Science & Exploration): ESA มีส่วนร่วมในภารกิจสำรวจระบบสุริยะมากมาย เช่น จีออตโต (Giotto) ยานสำรวจดาวหางฮัลเลย์, มาร์ส เอ็กซ์เพรส (Mars Express) ยานสำรวจดาวอังคาร และล่าสุดคือ จูซ (Juice) ภารกิจสำรวจดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี
- การสังเกตการณ์โลก (Earth Observation): ESA พัฒนาดาวเทียมเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลกและสิ่งแวดล้อม โครงการที่โดดเด่นคือ โคเปอร์นิคัส (Copernicus) ซึ่งเป็นระบบเฝ้าระวังโลกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
- การสื่อสารโทรคมนาคมและการนำทาง: ESA มีส่วนร่วมในการพัฒนาเครือข่ายดาวเทียมเพื่อการสื่อสารและระบบนำทางผ่านดาวเทียมกาลิเลโอ (Galileo) ซึ่งเป็นระบบเทียบเท่าจีพีเอส (GPS) ของยุโรป
ความร่วมมือกับนานาชาติ
แม้จะเป็นองค์กรของยุโรป แต่ ESA ก็ไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง องค์กรมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับองค์การอวกาศอื่น ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะกับ NASA ในโครงการระดับนานาชาติมากมาย เช่น กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble Space Telescope) และสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station: ISS) ซึ่งนักบินอวกาศจาก ESA มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง
จากจุดเริ่มต้นที่มีเพียงสิบประเทศ ปัจจุบัน ESA มีสมาชิก 22 ประเทศ และอีกหลายประเทศที่มีสถานะเป็นประเทศสมาชิกสมทบหรือประเทศที่มีความร่วมมือ ทำให้ ESA เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้ยุโรปสามารถพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของตนเองได้ทัดเทียมกับมหาอำนาจอื่น ๆ และยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายขีดจำกัดของความรู้และเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติทุกคนต่อไปในอนาคต
ข้อมูลอ้างอิง: ESA
- History of Europe in space