ข่าวอวกาศ

“ดวงจันทร์” สมรภูมิใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 เมื่อสองชาติมหาอำนาจเข้าสู่การแข่งขัน

การสำรวจดวงจันทร์กำลังกลับมาอยู่ในความสนใจของโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นับตั้งแต่ยุคสงครามเย็นและภารกิจอะพอลโล เมื่อสหรัฐอเมริกาภายใต้โครงการอาร์ทิมิส (Artemis) ตั้งเป้าหมายจะพามนุษย์กลับไปเหยียบดวงจันทร์อีกครั้ง พร้อมกับจัดตั้งฐานปฏิบัติการระยะยาว ขณะที่จีนและรัสเซียก็เดินหน้าแนวคิดสถานีวิจัยดวงจันทร์นานาชาติ (ILRS) ในพื้นที่เดียวกันอย่างมุ่งมั่น ความเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าคือ “การแข่งขันอวกาศ” ครั้งใหม่ที่ดุเดือดกว่าเดิม เพราะเดิมพันครั้งนี้ไม่ใช่แค่การปักธง แต่คือการครอบครองทรัพยากรและสร้างอิทธิพลถาวรบนเทหวัตถุที่ใกล้โลกที่สุด

จากสนามแข่งขันสู่ฐานที่มั่นระยะยาว

ในยุคอะพอลโล การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตเป็นไปเพื่อแสดงแสนยานุภาพทางเทคโนโลยี และการอ้างความเหนือกว่าทางอุดมการณ์ แต่การแข่งขันยุคใหม่มีเป้าหมายที่จริงจังและยาวนานกว่านั้นมาก ทั้งโครงการอาร์ทิมิสและ ILRS ต่างมุ่งเน้นไปยังขั้วใต้ของดวงจันทร์ซึ่งเป็นบริเวณที่คาดว่ามีน้ำแข็งจำนวนมหาศาล

นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรอวกาศต่างมองว่าน้ำแข็งเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันสามารถแยกเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจนได้ ซึ่งใช้เป็นทั้งเชื้อเพลิงจรวดและอากาศหายใจ สำหรับฐานที่มั่นถาวร การควบคุมพื้นที่ที่มีทรัพยากรสำคัญนี้จึงเป็นหัวใจหลักของสมรภูมิบนดวงจันทร์

โครงการอาร์ทิมิส การนำโดยพันธมิตรตะวันตก

โครงการอาร์ทิมิส (Artemis) ที่นำโดยองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NASA) มีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างสถานะของมนุษย์ที่ยั่งยืนบนดวงจันทร์ เพื่อใช้เป็นฐานปูทางสู่ดาวอังคาร โดยมีลักษณะเด่นดังนี้

  • ความร่วมมือแบบเปิด
    NASA ใช้กรอบของข้อตกลงอาร์ทิมิส (Artemis Accords) ซึ่งเป็นหลักการทางกฎหมายที่ไม่ผูกมัด เพื่อสร้างบรรทัดฐานความประพฤติในการสำรวจอวกาศอย่างสันติและโปร่งใส ปัจจุบันมีประเทศพันธมิตรเข้าร่วมลงนามแล้วกว่า 40 ประเทศ
  • เป้าหมายทางเศรษฐกิจ
    มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสกัดทรัพยากรในแหล่งกำเนิด (ISRU) บนดวงจันทร์ เพื่อลดต้นทุนการขนส่งจากโลก และสร้างเศรษฐกิจอวกาศใหม่
  • โครงสร้างพื้นฐาน
    วางแผนสร้างสถานีโคจรรอบดวงจันทร์ที่เรียกว่า เกตเวย์ (Gateway) ทำหน้าที่เป็นจุดพักและห้องปฏิบัติการโคจร ก่อนส่งมนุษย์ลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์โดยตรง

สถานีวิจัยดวงจันทร์นานาชาติ (ILRS) การรวมกลุ่มทางตะวันออก

สถานีวิจัยดวงจันทร์นานาชาติ (ILRS) นำโดยองค์การอวกาศแห่งชาติจีน (CNSA) และความร่วมมือกับองค์การอวกาศรัสเซีย (Roscosmos) มีเป้าหมายที่คล้ายคลึงกันคือการจัดตั้งฐานวิจัยถาวรบริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์ภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030)

  • เน้นการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
    นอกจากเป้าหมายในการส่งมนุษย์แล้ว ยังมุ่งเน้นการติดตั้งอุปกรณ์และห้องปฏิบัติการเพื่อการศึกษาทางดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์โลก และชีววิทยาอวกาศอย่างเข้มข้น
  • ความร่วมมือแบบทวิภาคีและพหุภาคี
    แม้จะเริ่มต้นจากจีนและรัสเซีย แต่ ILRS ก็ได้เปิดรับประเทศอื่น ๆ เข้าร่วมโครงการ โดยเน้นการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและการพัฒนาร่วมกัน โดยมีหลายประเทศเข้าร่วมแล้ว รวมถึงประเทศไทยในฐานะผู้ร่วมพัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัดบางส่วน
  • การพัฒนาแบบก้าวกระโดด
    จีนประสบความสำเร็จในการสำรวจด้านไกลของดวงจันทร์ และนำตัวอย่างหินจากดวงจันทร์กลับมายังโลกได้แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถทางเทคนิคที่ไม่ด้อยไปกว่าคู่แข่ง

กฎหมายอวกาศ ข้อจำกัดที่คานอำนาจ

แม้จะมีการแข่งขันที่ดุเดือด แต่สิ่งที่ช่วยควบคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลายไปสู่ความขัดแย้งเชิงอาณาเขตคือ สนธิสัญญาว่าด้วยหลักการควบคุมกิจกรรมของรัฐในการสำรวจและใช้ประโยชน์ห้วงอวกาศ (Outer Space Treaty – OST) พ.ศ. 2510

สนธิสัญญาฉบับนี้เป็นรากฐานที่กำหนดว่า

  1. ห้ามการยึดครอง ห้ามรัฐใด ๆ อ้างสิทธิ์ในอธิปไตยเหนือดวงจันทร์หรือเทหวัตถุอื่น ๆ ในห้วงอวกาศไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม
  2. การใช้เพื่อสันติ การสำรวจอวกาศต้องเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของมนุษยชาติทั้งหมดและมุ่งเน้นการใช้เพื่อสันติ

การแข่งขันในปัจจุบันจึงเป็นการช่วงชิงอิทธิพลและสิทธิ์ในการเข้าถึงทรัพยากร ภายใต้กรอบของกฎหมายสากลนี้ มากกว่าการอ้างสิทธิ์ในที่ดิน การใช้คำอุปมาว่าดวงจันทร์เป็น “ทะเลจีนใต้” จึงยังเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะในทางกฎหมาย ดวงจันทร์ไม่มีพื้นที่ที่เป็นอาณาเขตของชาติใดชาติหนึ่ง

แข่งเพื่อก้าวหน้า ไม่ใช่เพื่อทำลาย

สมรภูมิบนดวงจันทร์ของศตวรรษที่ 21 คือการแข่งขันเชิงกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยี การบริหารจัดการทรัพยากร และการกำหนดบรรทัดฐานความร่วมมือในอนาคต หากสองมหาอำนาจสามารถใช้การแข่งขันนี้เพื่อผลักดันขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม โดยยังคงยึดมั่นในหลักการของสนธิสัญญา OST เพื่อการสำรวจอย่างสันติ นี่ก็อาจจะเป็นการแข่งขันที่สร้างสรรค์ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ซึ่งจะนำไปสู่การขยายขอบเขตความรู้ของเราอย่างแท้จริง

บทบาทอันชาญฉลาดของประเทศไทย กับการรักษาสมดุลในห้วงอวกาศ

ในฐานะประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างชัดเจนในเกมภูมิรัฐศาสตร์โลก ประเทศไทยได้เลือกที่จะเข้าร่วมทั้งสองโครงการ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ไทยกลายเป็นชาติแรก ๆ ที่ลงนามในข้อตกลงด้านการสำรวจอวกาศหลักทั้งสองฉบับคู่ขนานกันไป การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงการดำเนินนโยบายเชิงกลยุทธ์ที่ต้องการสร้างความสมดุลและดึงผลประโยชน์สูงสุดกลับคืนสู่ประเทศ

1. การมีส่วนร่วมกับ ILRS (จีน)

  • งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์
    สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) และมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมพัฒนาอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น Moon-Aiming Thai-Chinese Hodoscope (MATCH) เพื่อติดตั้งไปกับภารกิจฉางเอ๋อ-7 (Chang’e-7) ของจีน ซึ่งจะเดินทางไปสำรวจบริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์
  • การพัฒนาบุคลากรและเทคโนโลยี
    ความร่วมมือนี้เปิดโอกาสให้นักวิจัยและวิศวกรไทยได้พัฒนาขีดความสามารถและเทคโนโลยีอวกาศของตนเองให้ทัดเทียมระดับโลก

2. การเข้าร่วมข้อตกลงอาร์ทิมิส (สหรัฐฯ)

  • ธรรมาภิบาลอวกาศ
    การลงนามใน Artemis Accords (เป็นประเทศลำดับที่ 51) ทำให้ไทยได้มีส่วนร่วมในการกำหนดบรรทัดฐานและหลักการสำคัญของการสำรวจอวกาศอย่างสันติ ความโปร่งใส และความปลอดภัยในเวทีโลก
  • โอกาสทางเศรษฐกิจ
    การเป็นพันธมิตรภายใต้ข้อตกลงนี้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและหน่วยงานของไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนและโอกาสทางเศรษฐกิจที่มาพร้อมกับโครงการอาร์ทิมิส รวมถึงการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานอวกาศของโลกตะวันตก

การเข้าร่วมทั้งสองขั้วอำนาจนี้ทำให้ประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ เพราะสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยี และโอกาสทางเศรษฐกิจจากทั้งสองฝ่าย โดยรักษาสมดุลทางยุทธศาสตร์ และหลีกเลี่ยงการถูกจำกัดขอบเขตการทำงานร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง


ข้อมูลอ้างอิง: Space News

  • Why the moon is not the South China Sea: reframing lunar space ahead of the next ‘race’