
ดาวพุธ คือดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดและมีขนาดเล็กที่สุดในระบบสุริยะของเรา ด้วยความที่มันเคลื่อนที่บนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ชาวโรมันโบราณจึงตั้งชื่อดาวดวงนี้ตามชื่อของ “เมอร์คิวรี” เทพผู้ส่งสารที่ปราดเปรียวว่องไว ดาวเคราะห์ดวงนี้เต็มไปด้วยความสุดขั้วและลักษณะทางกายภาพที่น่าสนใจ
ดาวพุธเป็นดาวเคราะห์หินขนาดกะทัดรัด มีรัศมีเพียง 2,440 กิโลเมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าดวงจันทร์ของโลกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเทียบกับโลก ดาวพุธจะมีขนาดประมาณหนึ่งในสาม ทำให้มันเป็นดาวเคราะห์ที่เล็กที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งแปดดวง ดาวพุธโคจรอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์โดยเฉลี่ย 58 ล้านกิโลเมตร แสงจากดวงอาทิตย์ใช้เวลาเดินทางเพียง 3.2 นาทีเพื่อไปถึงดาวพุธ
คุณสมบัติที่แปลกประหลาดที่สุดอย่างหนึ่งของดาวพุธคือเรื่องของเวลา ดาวพุธโคจรรอบดวงอาทิตย์เร็วมาก โดยใช้เวลาเพียง 88 วันของโลก ในการครบรอบหนึ่งปี แต่ในทางกลับกัน มันกลับหมุนรอบตัวเองช้ามาก โดยใช้เวลาถึง 59 วันของโลก ต่อการหมุนหนึ่งรอบ
ความแตกต่างระหว่างการโคจรและการหมุนรอบตัวเองนี้ ส่งผลให้หนึ่งวันสุริยะบนดาวพุธ (ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ขึ้นอีกครั้ง) ยาวนานถึง 176 วันของโลก เลยทีเดียว นั่นหมายความว่า หนึ่งวันบนดาวพุธยาวนานกว่าสองปีของมันเองเสียอีก นอกจากนี้ แกนหมุนของดาวพุธเอียงเพียง 2 องศา ทำให้ดาวเคราะห์ดวงนี้แทบไม่มีฤดูกาลเปลี่ยนแปลง
พื้นผิวของดาวพุธมีลักษณะคล้ายกับดวงจันทร์ของโลก คือเต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตที่เกิดจากการพุ่งชนของอุกกาบาตและดาวหางตลอดหลายพันล้านปี พื้นผิวของมันมีสีน้ำตาลอมเทา และมีร่องรอยการพุ่งกระจายของเศษวัสดุจากหลุมอุกกาบาตที่เรียกว่า “เรย์” (Ray)
เนื่องจากดาวพุธอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์และแทบไม่มีชั้นบรรยากาศเพื่อควบคุมอุณหภูมิ ทำให้พื้นผิวของมันเผชิญกับอุณหภูมิที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว โดยในตอนกลางวัน อุณหภูมิอาจพุ่งสูงถึง 430 องศาเซลเซียส ซึ่งร้อนพอที่จะหลอมละลายตะกั่วได้ แต่ในตอนกลางคืน อุณหภูมิจะลดต่ำลงเหลือ -180 องศาเซลเซียส
ข้อมูลที่น่าสนใจคือ แม้จะร้อนจัด แต่ยานสำรวจได้ค้นพบหลักฐานว่าอาจมีน้ำแข็งซ่อนอยู่ในหลุมอุกกาบาตบริเวณขั้วของดาวพุธ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยได้รับแสงอาทิตย์เลย
ดาวพุธไม่มีชั้นบรรยากาศแบบที่โลกมี แต่มีเพียงชั้นเอ็กโซสเฟียร์ (Exosphere) ที่เบาบาง ซึ่งประกอบด้วยอะตอมของออกซิเจน โซเดียม ไฮโดรเจน ฮีเลียม และโพแทสเซียมเป็นหลัก อะตอมเหล่านี้ถูกกระแทกให้หลุดออกจากพื้นผิวโดยลมสุริยะและอุกกาบาตขนาดเล็ก
ดาวพุธมีสนามแม่เหล็กเช่นกัน แต่มีความแรงเพียง 1% ของสนามแม่เหล็กโลก และมีจุดศูนย์กลางของสนามแม่เหล็กที่ไม่ได้อยู่ตรงกับแกนกลางของดาว สนามแม่เหล็กนี้ทำปฏิกิริยากับลมสุริยะ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ทอร์นาโดแม่เหล็ก (Magnetic Tornadoes) ซึ่งเป็นช่องทางให้พลาสมาจากลมสุริยะที่ร้อนจัดไหลลงสู่พื้นผิวของดาวได้
โดยสรุปแล้ว ดาวพุธคือโลกแห่งความแตกต่างและความสุดขั้วอย่างแท้จริง เป็นดาวเคราะห์ที่เล็กที่สุดแต่กลับต้องเผชิญกับรังสีจากดวงอาทิตย์ที่รุนแรงที่สุด ปีของมันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่วันกลับยาวนานอย่างยิ่ง พื้นผิวมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างความร้อนที่แผดเผาและความหนาวเย็นสุดขั้ว และถึงแม้จะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ มันก็อาจมีน้ำแข็งซุกซ่อนอยู่ในเงามืด คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ดาวพุธเป็นวัตถุแห่งการศึกษาที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้และไขความลับเกี่ยวกับการก่อตัวและวิวัฒนาการของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเราต่อไป
ข้อมูลอ้างอิง: NASA Science
– Mercury: Overview