ในประวัติศาสตร์การสำรวจอวกาศ มีเรื่องราวของผู้กล้ามากมายที่ได้จารึกชื่อของตนไว้ท่ามกลางดวงดาว แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องราวที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ แม้จะไม่ได้จบลงด้วยการเดินทางสู่ห้วงอวกาศตามที่ฝันไว้ หนึ่งในนั้นคือเรื่องราวของ ดร. ปราตีวี ซูดาร์โมโน (Dr. Pratiwi Sudarmono) นักวิทยาศาสตร์หญิงชาวอินโดนีเซีย ผู้ถูกเลือกให้เป็นนักบินอวกาศคนแรกของประเทศ แต่โชคชะตากลับขีดเส้นทางให้เธอเป็น “นักบินอวกาศผู้ไม่เคยได้เดินทาง”
ปราตีวี ซูดาร์โมโน เกิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1952 เธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ในสาขาจุลชีววิทยาทางการแพทย์ (Medical Microbiology) จากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ในช่วงทศวรรษ 1980 อินโดนีเซียมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอวกาศและมีความต้องการส่งดาวเทียมสื่อสารของตนเองที่ชื่อว่า “ปาลาปา” (Palapa) ขึ้นสู่วงโคจร โดยร่วมมือกับองค์การนาซา (NASA) ของสหรัฐอเมริกา
ในปี ค.ศ. 1985 รัฐบาลอินโดนีเซียได้คัดเลือกบุคลากรเพื่อเข้าร่วมภารกิจกระสวยอวกาศ (Space Shuttle) ในฐานะ Payload Specialist ซึ่งเป็นตำแหน่งสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ได้เป็นนักบินอวกาศอาชีพของนาซา แต่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางในการควบคุมหรือปฏิบัติงานกับอุปกรณ์หรือการทดลองที่จะถูกส่งขึ้นไปกับยาน ดร. ปราตีวี ได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวจริงสำหรับภารกิจนี้ โดยมี ตาร์มักดี บันตารัง (Tarmakdi Bantaran) วิศวกรโทรคมนาคม เป็นนักบินอวกาศสำรอง
ดร. ปราตีวี ถูกบรรจุให้เป็นส่วนหนึ่งของลูกเรือในภารกิจ STS-61-H ซึ่งมีกำหนดเดินทางด้วยกระสวยอวกาศโคลัมเบีย (Columbia) ในวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1986 หน้าที่หลักของเธอคือการควบคุมการปล่อยดาวเทียมปาลาปา บีทูพี (Palapa B2P) ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงที่สามในซีรีส์นี้ การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นก้าวสำคัญทางเทคโนโลยีของอินโดนีเซีย แต่ยังจะทำให้ ดร. ปราตีวี กลายเป็นผู้หญิงชาวอินโดนีเซียคนแรกที่ได้ขึ้นไปสัมผัสอวกาศ
เธอและทีมงานได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อเข้ารับการฝึกฝนอย่างเข้มข้น เตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจสำหรับภารกิจที่กำลังจะมาถึง ความฝันของเธและของคนทั้งชาติกำลังจะกลายเป็นความจริงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ทว่าในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1986 เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่สั่นสะเทือนวงการอวกาศทั่วโลก เมื่อกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ (Challenger) เกิดระเบิดขึ้นหลังทะยานขึ้นจากฐานปล่อยเพียง 73 วินาที ในภารกิจ STS-51-L ส่งผลให้ลูกเรือทั้งเจ็ดคนเสียชีวิตทั้งหมด โศกนาฏกรรมครั้งนี้ทำให้นาซาสั่งระงับโครงการกระสวยอวกาศทั้งหมดเป็นเวลาเกือบสามปี เพื่อสอบสวนหาสาเหตุและปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัย
ผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนั้นส่งตรงมาถึงภารกิจ STS-61-H ซึ่งถูกยกเลิกไปโดยปริยาย ความฝันในการเดินทางสู่อวกาศของ ดร. ปราตีวี และทีมงานต้องสลายไปพร้อมกับควันระเบิดของยานชาเลนเจอร์ แม้ว่าในเวลาต่อมา ดาวเทียมปาลาปา บีทูพี จะถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1987 โดยใช้จรวดเดลตา (Delta Rocket) ซึ่งเป็นการปล่อยดาวเทียมแบบไร้คนควบคุม แต่โอกาสที่นักบินอวกาศชาวอินโดนีเซียจะได้เดินทางไปกับภารกิจก็ไม่เคยหวนกลับมาอีก
แม้ ดร. ปราตีวี ซูดาร์โมโน จะไม่เคยได้เดินทางสู่อวกาศ แต่เรื่องราวของเธอก็ไม่ได้จบลงด้วยความผิดหวัง เธอกลับมาทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์และอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย อุทิศตนให้กับการวิจัยและพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์ของประเทศอย่างต่อเนื่อง การที่เธอเกือบจะได้เป็นนักบินอวกาศได้จุดประกายความฝันและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนชาวอินโดนีเซียและทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้หันมาสนใจในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) มากขึ้น
เรื่องราวของ ดร. ปราตีวี ซูดาร์โมโน คือเครื่องย้ำเตือนว่า การเดินทางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจไม่ใช่การไปให้ถึงดวงดาวเสมอไป แต่คือการอุทิศตนเพื่อสร้างประโยชน์บนผืนโลก และการเป็นแสงสว่างแห่งแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นหลังสืบต่อไป
ข้อมูลอ้างอิง: Wikipedia
- Pratiwi Sudarmono