ข่าวอวกาศ

Sentinel-6B ทะยานฟ้า สานต่อภารกิจ 3 ทศวรรษ บันทึกระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทั่วโลก

โคเพอร์นิคัส เซนทิเนล-6บี (Copernicus Sentinel-6B) ดาวเทียมดวงล่าสุดที่ถูกออกแบบมาเพื่อเฝ้าระวังมหาสมุทรของโลก ได้ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จแล้วเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 โดยจรวด ฟอลคอน 9 (Falcon 9) ของบริษัท SpaceX จากฐานทัพอวกาศแวนเดนเบิร์ก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ภารกิจหลักของดาวเทียมดวงนี้คือการเป็นหน่วยอ้างอิงมาตรฐานระดับโลก ในการวัดความสูงของพื้นผิวทะเล (sea-surface height) อย่างต่อเนื่องและแม่นยำ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่สุดในการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และการรับมือกับปัญหาระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น

Sentinel-6B เข้ามาสานต่อภารกิจที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 ด้วยดาวเทียมอย่าง Topex-Poseidon และ Jason series โดยมันจะปฏิบัติงานเคียงคู่กับดาวเทียมรุ่นพี่อย่าง Sentinel-6 Michael Freilich ที่ถูกส่งขึ้นไปก่อนหน้านี้ เพื่อขยายบันทึกข้อมูลระดับน้ำทะเลให้ยาวนานและแม่นยำยิ่งขึ้น

การวัดระดับน้ำทะเลเป็นหัวใจหลักในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) เนื่องจากมหาสมุทรทำหน้าที่ดูดซับความร้อนกว่า 90% ที่เกิดจากก๊าซเรือนกระจก เมื่อน้ำอุ่นขึ้นก็จะเกิดการขยายตัวทางความร้อน (thermal expansion) ผนวกกับการละลายของแผ่นน้ำแข็งและธารน้ำแข็งจากขั้วโลก ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลความแม่นยำสูงจากดาวเทียมชุดนี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักวิทยาศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกใช้ในการวางแผนป้องกันชุมชนชายฝั่งนับล้านคนที่กำลังเผชิญกับภัยพิบัติน้ำท่วมและภัยกัดเซาะชายฝั่ง

หัวใจของดาวเทียม Sentinel-6B คือเทคโนโลยีเรดาร์วัดความสูง (radar altimetry) ที่มีความก้าวหน้าสูงสุดในปัจจุบัน หลักการทำงานของมันนั้นเข้าใจได้ไม่ยาก

  1. ดาวเทียมจะส่งคลื่นเรดาร์ลงไปยังพื้นผิวทะเลเบื้องล่าง
  2. มันจะวัดเวลาที่คลื่นเรดาร์ใช้ในการเดินทางไปกระทบผิวน้ำแล้วสะท้อนกลับมายังดาวเทียม
  3. เมื่อรวมข้อมูลระยะเวลาที่วัดได้ เข้ากับข้อมูลตำแหน่งที่แม่นยำสุดยอดของดาวเทียมในวงโคจร นักวิทยาศาสตร์ก็จะสามารถคำนวณความสูงของพื้นผิวทะเล ณ จุดนั้นได้อย่างถูกต้อง

นอกจากนี้ เพื่อให้ข้อมูลมีความแม่นยำสูงสุด ดาวเทียมยังติดตั้งเครื่องวัดรังสีไมโครเวฟขั้นสูง (advanced microwave radiometer) ที่พัฒนาโดย NASA เครื่องมือนี้ทำหน้าที่วัดปริมาณไอน้ำในบรรยากาศ ซึ่งมีผลต่อความเร็วของคลื่นเรดาร์ที่เดินทางผ่านชั้นบรรยากาศ การวัดไอน้ำและนำมาปรับแก้ค่า ทำให้การวัดระดับน้ำทะเลปราศจากความคลาดเคลื่อนจากความชื้นในอากาศ

นอกจากข้อมูลระยะยาวเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว ดาวเทียมชุด Copernicus Sentinel-6 ยังให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น การวัดความสูงคลื่นนัยสำคัญ (significant wave height) และความเร็วลม ซึ่งถูกนำไปใช้ในการพยากรณ์สภาพมหาสมุทรแบบเกือบเรียลไทม์ (near-real time) เพื่อความปลอดภัยในการเดินเรืออีกด้วย

ภารกิจ Copernicus Sentinel-6 เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของความร่วมมือด้านอวกาศระหว่างประเทศครั้งใหญ่ แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการโคเพอร์นิคัส (Copernicus) ซึ่งเป็นโครงการสำรวจโลกของสหภาพยุโรป แต่ดาวเทียมดวงนี้เป็นผลผลิตจากความร่วมมืออันยอดเยี่ยมระหว่างองค์กรอวกาศยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ได้แก่ คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission), องค์การอวกาศยุโรป (ESA), องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA), Eumetsat (องค์การดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาของยุโรป), NOAA (องค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ) รวมถึงการสนับสนุนเพิ่มเติมจาก CNES (องค์การอวกาศแห่งชาติฝรั่งเศส)

การส่งดาวเทียม Sentinel-6B ขึ้นสู่อวกาศจึงถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งสำคัญของประชาคมโลก ในการสร้างความมั่นใจว่ามนุษยชาติจะมีเครื่องมือที่ทันสมัยและแม่นยำ เพื่อให้เรายังคงสามารถเฝ้าติดตามและทำความเข้าใจมหาสมุทรของเราที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต


ข้อมูลอ้างอิง: ESA

  • Sentinel-6B launched to extend record of sea-level rise