
เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 68 ที่ผ่านมา บริษัท SpaceX ของ อีลอน มัสก์ ได้สร้างความสำเร็จครั้งสำคัญในภารกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียม โดยการปล่อยดาวเทียม Starlink เพิ่มอีก 56 ดวง ทำให้ยอดรวมดาวเทียม Starlink ที่ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรต่ำของโลก (Low Earth Orbit หรือ LEO) นับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการทะลุหลัก 10,000 ดวง เป็นที่เรียบร้อย นับเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาด “โครงข่ายดาวเทียมขนาดใหญ่” (Mega Constellation) ท่ามกลางความท้าทายทั้งในด้านการจัดการจราจรในอวกาศและการควบคุมการใช้งานที่ผิดกฎหมายในบางพื้นที่ของโลก รวมถึงในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การปล่อยดาวเทียมในภารกิจล่าสุดนี้ถือเป็นการปล่อยจรวด Falcon 9 ครั้งที่ 132 ของปี 2025 ซึ่งทำสถิติเทียบเท่ากับการปล่อยจรวดรวมตลอดทั้งปีที่ผ่านมา แม้จะเหลือเวลาอีกกว่าสองเดือนถึงสิ้นปี แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการปล่อยที่รวดเร็วและต่อเนื่องของ SpaceX ในการเติมเต็มโครงข่ายดาวเทียม Starlink
โครงการ Starlink มีเป้าหมายหลักคือการมอบบริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ที่มีความหน่วงต่ำ (Low-Latency) และความเร็วสูงให้แก่ผู้ใช้งานทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่อินเทอร์เน็ตภาคพื้นดินเข้าไม่ถึง ดาวเทียมเหล่านี้โคจรในระดับต่ำ (วงโคจรต่ำของโลก หรือ LEO) ทำให้สัญญาณเดินทางถึงพื้นโลกได้รวดเร็วกว่าดาวเทียมสื่อสารแบบดั้งเดิมที่โคจรสูงกว่ามาก
จากตัวเลขดาวเทียมกว่า 10,000 ดวงที่ถูกส่งขึ้นไป ข้อมูลจากการคำนวณของ โจนาธาน แมคโดเวลล์ (Jonathan McDowell) นักติดตามดาวเทียม ระบุว่า มีดาวเทียมประมาณ 8,608 ดวงที่ยังคงปฏิบัติงานอยู่ ส่วนดาวเทียมที่เหลือจะถูกปลดระวาง (De-orbit) หรือลดระดับวงโคจรเพื่อเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศตามแผนที่วางไว้ ซึ่งโดยปกติแล้ว ดาวเทียม Starlink มีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปี
แม้ว่า SpaceX จะได้รับอนุมัติให้ปล่อยดาวเทียม 12,000 ดวง และวางแผนในระยะยาวไว้ถึงกว่า 30,000 ดวง แต่การสร้างโครงข่ายดาวเทียมขนาดยักษ์เช่นนี้ ได้ก่อให้เกิดความกังวลอย่างมากในหมู่นักดาราศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านอวกาศเกี่ยวกับปัญหาความแออัดของวงโคจรต่ำ (LEO Overcrowding) ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของการชนกันของดาวเทียมและสร้าง #ขยะอวกาศ (Space Debris) ที่เป็นอันตรายต่อภารกิจอื่น ๆ ในอนาคต
นอกจาก Starlink แล้ว ยังมีคู่แข่งรายใหญ่ที่กำลังสร้างโครงข่ายดาวเทียมของตนเอง เช่น Project Kuiper ของบริษัท Amazon รวมถึงโครงการของยุโรปและจีน ที่ต่างก็มีแผนการปล่อยดาวเทียมจำนวนมหาศาลเช่นกัน ซึ่งยิ่งทำให้ความกังวลเรื่องการจัดการจราจรในอวกาศทวีความรุนแรงขึ้น
สำหรับประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริการ Starlink กำลังกลายเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำคัญ ในแง่ของโอกาส บริการนี้สามารถช่วยยกระดับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกล เกาะ หรือพื้นที่ภัยพิบัติ ที่โครงข่ายโทรคมนาคมภาคพื้นดินเข้าไม่ถึง โดยในประเทศไทยเอง สำนักงาน กสทช. ได้เคยอนุมัติโครงการทดลองให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม Starlink กับหน่วยงานบางแห่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลปัจจุบันระบุว่า Starlink ยังไม่ได้รับใบอนุญาตอย่างเป็นทางการ ในการให้บริการเชิงพาณิชย์ในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้การใช้อุปกรณ์ Starlink ที่มีอยู่ในประเทศส่วนใหญ่อยู่ในสถานะที่ยังไม่มีการกำกับดูแลอย่างชัดเจน แม้ว่าจะมีผู้ใช้งานนำเข้าหรือสั่งซื้อเข้ามาใช้อย่างแพร่หลาย
ที่น่ากังวลไปกว่านั้น คือการใช้ Starlink เพื่อการกระทำที่ผิดกฎหมาย ในช่วงที่ผ่านมา มีรายงานอย่างต่อเนื่องว่า อุปกรณ์รับสัญญาณ Starlink ถูกลักลอบนำไปใช้ในศูนย์ปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมทางไซเบอร์ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค โดยอาชญากรใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติของ Starlink ที่มีความเป็นอิสระจากโครงข่ายโทรคมนาคมของประเทศ ทำให้ยากต่อการติดตามและตัดสัญญาณ ซึ่งหน่วยงานรัฐบาลของไทยและประเทศเพื่อนบ้านกำลังร่วมมือกันเพื่อหาแนวทางในการปราบปรามการใช้เทคโนโลยีนี้ในทางที่ผิด
ความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียม Starlink ทะลุ 10,000 ดวงของ SpaceX เป็นหมุดหมายสำคัญที่กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของการสื่อสารทั่วโลกอย่างถอนรากถอนโคน แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการกำหนดกฎเกณฑ์และมาตรฐานสากลเพื่อควบคุมการจราจรในอวกาศและป้องกันปัญหาขยะอวกาศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ในระดับภูมิภาค การจัดการกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศในทางที่ผิดกฎหมายก็เป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ที่ทุกประเทศต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ข้อมูลอ้างอิง: The Verge
- SpaceX launches 10,000th Starlink internet satellite