
นักวิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยความเป็นไปได้ที่น่าทึ่งว่า เมื่อประมาณ 10 ล้านปีที่แล้ว โลกของเราอาจได้รับผลกระทบจากการระเบิดครั้งใหญ่ของดาวฤกษ์ที่เรียกว่า ซูเปอร์โนวา (supernova) ซึ่งส่งคลื่นรังสีคอสมิก (cosmic rays) พลังงานสูงมายังโลก โดยมีหลักฐานซ่อนอยู่ในหินใต้ทะเลลึก
การค้นพบนี้มาจากการวิเคราะห์เปลือกโลกใต้ทะเล (oceanic crusts) ที่อุดมด้วยโลหะ ซึ่งเผยให้เห็นระดับของเบริลเลียม-10 (beryllium-10) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ เบริลเลียม-10 เป็นไอโซโทปหายากที่เกิดจากอนุภาคพลังงานสูงจากอวกาศพุ่งชนชั้นบรรยากาศโลก การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของไอโซโทปนี้เมื่อ 10 ล้านปีที่แล้ว จึงนำไปสู่คำถามที่น่าสนใจว่า ซูเปอร์โนวาที่อยู่ใกล้เคียงได้ส่งรังสีคอสมิกมายังโลกในขณะนั้นหรือไม่?
ดร. โดมินิก คอลล์ (Dr. Dominik Koll) จากสถาบันวิจัยในเยอรมนีกล่าวว่า ระดับเบริลเลียม-10 ที่พบนั้น เกือบสองเท่าของที่คาดการณ์ไว้สำหรับช่วงเวลานั้น ความผิดปกตินี้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในบันทึกทางธรณีวิทยา บ่งชี้ว่ามีแรงภายนอกขนาดใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการระเบิดของซูเปอร์โนวาที่เกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกับระบบสุริยะของเรา
ซูเปอร์โนวา คือการสิ้นอายุขัยอย่างรุนแรงของดาวฤกษ์มวลมาก ซึ่งจะปล่อยพลังงาน รังสี และอนุภาคพลังงานสูงออกมามหาศาล แม้ว่าส่วนใหญ่จะอยู่ไกลเกินกว่าจะส่งผลกระทบต่อโลก แต่หากเกิดขึ้นในระยะใกล้ เช่น ไม่เกิน 30 ปีแสง อาจรบกวนชั้นโอโซนของโลกได้
เพื่อระบุว่าซูเปอร์โนวาใดเป็นสาเหตุ นักวิจัยได้ใช้ข้อมูลจากภารกิจไกอา (Gaia mission) ขององค์การอวกาศยุโรป เพื่อทำแผนที่ตำแหน่งและการเคลื่อนที่ของกระจุกดาวใกล้เคียง และพบว่ามีความเป็นไปได้ถึง 68% ที่ดาวฤกษ์ในกระจุกดาวแห่งหนึ่งระเบิดภายในระยะ 326 ปีแสง จากโลกเมื่อ 10 ล้านปีก่อน ซึ่งตรงกับช่วงที่เบริลเลียม-10 พุ่งสูงสุด
นอกจากสมมติฐานซูเปอร์โนวาแล้ว นักวิจัยยังพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น
1. การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสมุทร อาจทำให้เบริลเลียม-10 กระจุกตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกโดยที่ไม่มีซูเปอร์โนวาเกี่ยวข้อง
2. การเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ หากระบบสุริยะเคลื่อนเข้าสู่บริเวณที่มีเมฆกาแล็กซีหนาแน่น อาจทำให้เกราะแม่เหล็กของดวงอาทิตย์อ่อนแอลง และปล่อยให้รังสีคอสมิกเข้าสู่โลกได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม คำอธิบายเกี่ยวกับรังสีคอสมิกจากซูเปอร์โนวา ยังคงเป็นทฤษฎีที่มีน้ำหนักมากที่สุดในขณะนี้
ความสำคัญต่อประวัติศาสตร์โลก
หากซูเปอร์โนวาเป็นต้นเหตุจริง เหตุการณ์นี้จะเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของโลก แม้ว่าจะไม่น่าจะรุนแรงพอที่จะทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ แต่มันอาจมีผลกระทบเล็กน้อยต่อสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตบนโลก เช่น การทำให้ชั้นโอโซนอ่อนแอลง
นอกจากนี้ การค้นพบนี้ยังบอกเป็นนัยว่า ในอดีตโลกอาจเคยประสบกับเหตุการณ์ทางอวกาศที่คล้ายกันบ่อยครั้งกว่าที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ 10 ล้านปีที่แล้ว ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนที่ผ่านบริเวณที่มีการก่อตัวของดาวฤกษ์หนาแน่นอย่าง แรดคลิฟฟ์ เวฟ (Radcliffe Wave) ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสที่ซูเปอร์โนวาจะเกิดขึ้นใกล้เคียง
การศึกษานี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักวิทยาศาสตร์ในการทำความเข้าใจว่า รังสีคอสมิกจากห้วงอวกาศส่งผลกระทบต่อประวัติศาสตร์ของโลกเราบ่อยแค่ไหนและอย่างไร
ข้อมูลอ้างอิง: Daily Galaxy
- Scientists Uncover Earth’s Cosmic Anomaly: Did a Supernova Hit Our Planet 10 Million Years Ago?