
เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) หรือเมื่อ 50 ปีที่แล้ว โลกได้จารึกเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การสำรวจอวกาศ เมื่อยานอวกาศสองลำจากสองชาติมหาอำนาจคู่แข่งในยุคสงครามเย็น ได้แก่ ยานอะพอลโล (Apollo) ของสหรัฐอเมริกา และยานโซยุซ (Soyuz) ของสหภาพโซเวียต โคจรมาพบและเชื่อมต่อกันสำเร็จเป็นครั้งแรก ภาพการจับมือกันระหว่างนักบินอวกาศอเมริกันและคอสโมนอตโซเวียตผ่านช่องประตูยานที่เปิดออกสู่กัน มิใช่เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จทางเทคโนโลยี แต่ยังเป็นเครื่องหมายแห่งการผ่อนคลายความตึงเครียดและจุดสิ้นสุดของการแข่งขันทางอวกาศที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน
ภาพชองยานอวกาศโซยุซที่ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของอวกาศ โดยมีโลกสีครามเป็นฉากหลัง ภาพนี้ถูกบันทึกจากหน้าต่างของยานอะพอลโล ก่อนที่ยานทั้งสองจะทำการเชื่อมต่อกันในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา กลายเป็นบทนำของภารกิจประวัติศาสตร์ที่มีชื่อว่า โครงการทดสอบอะพอลโล–โซยุซ หรือ Apollo-Soyuz Test Project
ภารกิจนี้ถือกำเนิดขึ้นในยุคแห่งการผ่อนคลายความตึงเครียด ที่สองมหาอำนาจพยายามหันหน้าเข้าหากันเพื่อลดความขัดแย้ง หลังจากการแข่งขันทางอวกาศ (Space Race) ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1950 การส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ได้สำเร็จของสหรัฐฯ ในโครงการอะพอลโล ทำให้การแข่งขันเริ่มมาถึงจุดเปลี่ยน ภารกิจ Apollo-Soyuz Test Project จึงเปรียบเสมือนการจับมือกันเพื่อแสดงให้นานาชาติเห็นถึงความเป็นไปได้ของความร่วมมือในกิจการอวกาศเพื่อสันติภาพ
ภารกิจนี้ใช้เวลาวางแผนและเตรียมการอย่างรอบคอบนานกว่า 3 ปี โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการทดสอบระบบนัดพบและเชื่อมต่อยานอวกาศที่สามารถใช้เป็นมาตรฐานร่วมกันได้ในอนาคต ซึ่งจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภารกิจกู้ภัยในอวกาศระหว่างประเทศ
การเชื่อมต่อยานอวกาศที่ถูกออกแบบและสร้างโดย 2 ประเทศที่มีปรัชญาทางวิศวกรรมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถือเป็นความท้าทายอย่างสูง ปัญหาหลักประการหนึ่งคือระบบบรรยากาศภายในยานที่แตกต่างกัน ยานอะพอลโลใช้บรรยากาศออกซิเจนบริสุทธิ์ที่ความดันต่ำประมาณ 5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (psi) ในขณะที่ยานโซยุซใช้บรรยากาศผสมระหว่างไนโตรเจนและออกซิเจนที่ความดันระดับน้ำทะเล (ประมาณ 14.7 psi)
เพื่อแก้ปัญหานี้ วิศวกรของนาซาได้พัฒนาชิ้นส่วนใหม่ขึ้นมาโดยเฉพาะเรียกว่า ด็อกกิง โมดูล (Docking Module) ซึ่งทำหน้าที่เป็นห้องปรับความดันอากาศ (Airlock) สำหรับการเคลื่อนย้ายระหว่างยานทั้งสองลำ และยังทำหน้าที่เป็นตัวแปลงระบบเชื่อมต่อที่แตกต่างกันอีกด้วย
นวัตกรรมที่สำคัญที่สุดของภารกิจนี้คือ ระบบเชื่อมต่อพ่วงต่อพ่วงกลางแบบแอนโดรจีนัส (Androgynous Peripheral Attach System: APAS) ซึ่งได้รับการออกแบบร่วมกันโดยวิศวกรจากทั้งสองชาติ คำว่า “แอนโดรจีนัส” (Androgynous) หมายความว่า ระบบเชื่อมต่อของยานทั้งสองฝั่งจะมีลักษณะเหมือนกัน สามารถทำหน้าที่ได้ทั้งฝั่ง “พุ่งชน” (Active) และ “ตั้งรับ” (Passive) ซึ่งแตกต่างจากระบบ “โพรบ-แอนด์-โดรก” (Probe-and-Drogue) แบบเดิมที่แต่ละฝั่งจะมีลักษณะเฉพาะ ทำให้มีความยืดหยุ่นและเป็นมาตรฐานสากลมากขึ้น
ก่อนภารกิจ นักบินจากทั้งสองชาติต้องใช้เวลานานหลายปีในการฝึกซ้อมร่วมกันทั้งที่ศูนย์อวกาศจอห์นสัน และที่สตาร์ซิตี้ ใกล้มอสโก อุปสรรคสำคัญคือเรื่องภาษา แต่พวกเขาก็แก้ปัญหาด้วยวิธีที่สร้างสรรค์ โดยตกลงกันว่านักบินอวกาศอเมริกันจะพยายามพูดภาษารัสเซีย และคอสโมนอตโซเวียตจะพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างเรียบง่ายและลดความผิดพลาด
โครงการทดสอบอะพอลโล–โซยุซ ไม่เพียงแต่เป็นการสิ้นสุดสงครามเย็นบนห้วงอวกาศ แต่ยังเป็นการปูทางไปสู่ความร่วมมือในโครงการอวกาศระดับนานาชาติในอนาคต เช่น โครงการกระสวยอวกาศ–สถานีอวกาศมีร์ (Shuttle-Mir Program) และที่สำคัญที่สุดคือ #สถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station: ISS) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือด้านอวกาศระดับโลกมาจนถึงปัจจุบัน
ในวาระครบรอบ 50 ปีของภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ เรื่องราวของอะพอลโล–โซยุซยังคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะมีความแตกต่างทางความคิดและอุดมการณ์ แต่ด้วยเป้าหมายร่วมกันเพื่อความก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติ การจับมือและร่วมมือกันก็สามารถนำมาซึ่งสันติภาพและความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างเสมอ
ข้อมูลอ้างอิง: NASA
- The Apollo-Soyuz Mission