Skip to content
SPACEMAN มนุษย์อวกาศ

SPACEMAN มนุษย์อวกาศ

ข่าวอวกาศ ความรู้ดาราศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศ

Primary Menu
  • หน้าแรก
  • ข่าวอวกาศ
  • ระบบสุริยะ
    • ระบบสุริยะของเรา
    • ดวงอาทิตย์
    • ดวงจันทร์
    • ดาวพุธ
    • ดาวศุกร์
    • โลก
    • ดาวอังคาร
    • ดาวพฤหัสบดี
    • ดาวเสาร์
    • ดาวยูเรนัส
    • ดาวเนปจูน
    • ดาวเคราะห์แคระ
  • นักบินอวกาศและนักดาราศาสตร์
    • นักบินอวกาศ
    • นักดาราศาสตร์
    • ตำนานวงการอวกาศ
    • คนไทยในวงการอวกาศ
  • สารานุกรมดาราศาสตร์
    • ดาราศาสตร์
    • กล้องโทรทรรศน์อวกาศ
    • โครงการอะพอลโล
    • เทคโนโลยีอวกาศ
    • หน่วยงานอวกาศ
    • เทคโนโลยีจรวด
    • ความรู้รอบตัว
  • ติดต่อมนุษย์อวกาศ
YouTube: SPACEMAN
  • Home
  • ข่าวอวกาศ
  • “ดาวแคระขาว” ไม่ได้ตายสนิท! นักดาราศาสตร์ไขปริศนาดาวพองตัว
  • ข่าวอวกาศ

“ดาวแคระขาว” ไม่ได้ตายสนิท! นักดาราศาสตร์ไขปริศนาดาวพองตัว

มนุษย์อวกาศ 16 ตุลาคม 2025
Tidal Heating in Detached Double White Dwarf Binaries

นักดาราศาสตร์ค้นพบความลับเบื้องหลังกลุ่มดาวแคระขาว (White Dwarfs) ในระบบดาวคู่ (Binary Systems) ที่มีวงโคจรสั้นมาก ซึ่งดาวเหล่านี้กลับมีขนาดใหญ่และร้อนกว่าที่แบบจำลองทางฟิสิกส์เคยวาดไว้ โดยมีอุณหภูมิพื้นผิวสูงถึง 10,000 ถึง 30,000 เคลวิน (Kelvin) ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกียวโต นำโดย ลูซี โอลิเวีย แมคนีลล์ (Lucy Olivia McNeill) ได้เผยแพร่ผลการศึกษาที่ชี้ว่า Tidal Heating ซึ่งเป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ของแรงโน้มถ่วงระหว่างดาวคู่ เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ดาวแคระขาวเหล่านี้พองตัว และมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้พวกมันสามารถเริ่มปฏิสัมพันธ์และถ่ายโอนมวลกันได้เร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ถึงสามเท่า

ดาวแคระขาว คือซากที่หนาแน่นและมีขนาดเล็กของดาวฤกษ์ที่มอดดับลงหลังจากเชื้อเพลิงนิวเคลียร์หมดลง ซึ่งเป็นชะตากรรมที่วันหนึ่งจะเกิดขึ้นกับดวงอาทิตย์ของเราเอง ดาวเหล่านี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม ดาวเสื่อมสภาพ (Degenerate Stars) เนื่องจากกลไกภายในของมันเป็นไปตามกฎฟิสิกส์ที่ไม่ปกติ โดยเฉพาะคุณสมบัติที่ว่า เมื่อดาวแคระขาวได้รับมวลเพิ่มขึ้น ขนาดของมันจะกลับเล็กลง

ดาวแคระขาวส่วนใหญ่มักพบเป็นส่วนหนึ่งของระบบดาวคู่ โดยโคจรอยู่รอบกันและกัน ระบบเหล่านี้ส่วนใหญ่มีอายุเก่าแก่ตามมาตรฐานของกาแล็กซี และได้เย็นตัวลงจนมีอุณหภูมิพื้นผิวใกล้เคียง 4,000 เคลวิน

อย่างไรก็ตาม นักดาราศาสตร์เพิ่งค้นพบกลุ่มดาวแคระขาวในระบบดาวคู่ที่มีวงโคจรสั้นมาก โดยดาวทั้งสองโคจรครบรอบใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ*ดาวแคระขาวเหล่านี้กลับมีขนาดใหญ่กว่าที่แบบจำลองคาดการณ์ไว้ถึงประมาณสองเท่า และมีอุณหภูมิพื้นผิวสูงมากถึง 10,000 ถึง 30,000 เคลวิน ซึ่งร้อนกว่าดาวแคระขาวทั่วไปหลายเท่า

ทีมวิจัยจึงหันมาตรวจสอบทฤษฎี Tidal Forces หรือแรงไทดัล ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อแรงโน้มถ่วงจากวัตถุหนึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของอีกวัตถุหนึ่ง คล้ายกับที่ดวงจันทร์ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงบนโลก ทีมวิจัยตั้งสมมติฐานว่า แรงไทดัลอาจเป็นสาเหตุของอุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้

จากการสร้างกรอบทฤษฎีที่ครอบคลุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ ทีมวิจัยพบว่า แรงไทดัลสามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อวิวัฒนาการของดาวแคระขาวเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงดึงไทดัลจากดาวแคระขาวที่มีขนาดเล็กกว่าจะทำให้เกิดความร้อนภายใน ในดาวแคระขาวคู่ที่มีขนาดใหญ่กว่าแต่มีมวลน้อยกว่า ส่งผลให้ดาวดวงหลังพองตัว และเพิ่มอุณหภูมิพื้นผิวให้สูงขึ้นอย่างน้อย 10,000 เคลวิน

ผลจากการพองตัวนี้ ทีมวิจัยคาดการณ์ว่า ดาวแคระขาวจะมีขนาดใหญ่กว่าที่ทฤษฎีทำนายไว้ถึงสองเท่า เมื่อพวกมันเริ่มปฏิสัมพันธ์และถ่ายโอนมวลกัน ดังนั้น ระบบดาวคู่แคระขาวที่มีวงโคจรสั้นจะสามารถเริ่มปฏิสัมพันธ์กันได้ในวงโคจรที่ยาวนานกว่าที่เคยคาดไว้ถึงสามเท่า ซึ่งเป็นการยืดระยะเวลาของการปฏิสัมพันธ์ออกไป

การค้นพบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจวิวัฒนาการของระบบดาวคู่แคระขาวที่มีวงโคจรสั้น เพราะระบบเหล่านี้ในท้ายที่สุดจะมีการถ่ายโอนมวลระหว่างกันและปล่อยคลื่นความโน้มถ่วง (Gravitational Radiation) ออกมา ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นต้นกำเนิดของปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่รุนแรง เช่น ซูเปอร์โนวาชนิด Ia (Type Ia Supernovae) และดาวแปรแสงชนิดวาบ (Cataclysmic Variables)

ในอนาคต ทีมวิจัยวางแผนที่จะใช้กรอบทฤษฎีนี้กับระบบดาวคู่ที่มีดาวแคระขาวชนิดคาร์บอน-ออกซิเจน เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวกำเนิดของซูเปอร์โนวาชนิด Ia โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นนั้นจะสนับสนุนสถานการณ์ที่เรียกว่า “การรวมตัวกันของดาวเสื่อมสภาพคู่” (Double Degenerate / Merger Scenario) หรือไม่


ข้อมูลอ้างอิง: The Astrophysical Journal

  • Tidal Heating in Detached Double White Dwarf Binaries

About the Author

มนุษย์อวกาศ

Administrator

Visit Website View All Posts
จำนวนเข้าชม: 19

Post navigation

Previous: ศูนย์วิจัย NASA ปลดพนักงานกว่า 500 ชีวิต ท่ามกลางเสียงสะท้อน “JPL ที่เรารู้จักได้หายไปแล้ว”
Next: ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ดวงใดแก่ที่สุดและดวงใดเด็กที่สุด?

เรื่องน่าอ่าน

NASA-JPL Lab
  • ข่าวอวกาศ

ศูนย์วิจัย NASA ปลดพนักงานกว่า 500 ชีวิต ท่ามกลางเสียงสะท้อน “JPL ที่เรารู้จักได้หายไปแล้ว”

มนุษย์อวกาศ 15 ตุลาคม 2025
Moon south pole NASA
  • ข่าวอวกาศ

ไขปริศนา 4 พันล้านปี! ขั้วใต้ดวงจันทร์อาจเกิดจากดาวเคราะห์น้อยยักษ์พุ่งชนผิดทิศทาง

มนุษย์อวกาศ 15 ตุลาคม 2025
fifteen protoplanetary disks
  • ข่าวอวกาศ

นักดาราศาสตร์พบคำตอบ! “จานดาวเคราะห์บิดเบี้ยว” อาจเป็นตัวการทำให้ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีวงโคจรเอียง

มนุษย์อวกาศ 13 ตุลาคม 2025

FB: SPACEMAN มนุษย์อวกาศ

SpacemanFB

เรื่องยอดนิยม

  • nasa_technology9 เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน ที่มาจากการสำรวจอวกาศ (6,957)
  • Buzz-Aldrinบัซ อัลดริน (Buzz Aldrin) นักบินอวกาศนาซา (3,870)
  • CNSA-Moonจีนเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจอวกาศห้วงลึก หลังจากเก็บตัวอย่างด้านไกลของดวงจันทร์ (3,045)
  • Lunar-soil-Change5ดินดวงจันทร์จากยานฉางเอ๋อ 5 ในงาน อว. แฟร์ 22-28 ก.ค. 67 (3,004)
  • Poralis-DawnSpaceX กำหนดปล่อยภารกิจ Polaris Dawn จะมีการเดินอวกาศ (Spacewalk) โดยเอกชนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ (2,912)
Copyright © All rights reserved. | MoreNews by AF themes.