
หลังจากการซ่อมแซมทางไกลที่ชาญฉลาดเป็นเวลานานถึง 5 เดือน ยานวอยเอเจอร์ 1 (Voyager 1) ซึ่งเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นที่อยู่ห่างไกลที่สุดในอวกาศ ได้กลับมาส่งข้อมูลวิศวกรรมถึงโลกอีกครั้งเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2567 ตามการยืนยันของห้องปฏิบัติการขับเคลื่อนด้วยไอพ่น (JPL) ขององค์การนาซา แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นกว่าความสำเร็จทางเทคนิคคือข้อมูลใหม่ที่ยานตรวจจับได้ ณ ขอบนอกของระบบสุริยะ
ข้อมูลที่วอยเอเจอร์ 1 ส่งกลับมา บ่งชี้ว่า ณ บริเวณที่ลมสุริยะปะทะกับมวลสารระหว่างดาว (Interstellar Medium) ได้เกิดเป็นเขตแดนที่มีพลังงานสูงมาก ซึ่งนักวิจัยขนานนามว่า”กำแพงไฟ” (Wall of Fire) โดยเป็นบริเวณพลาสมาที่ร้อนระอุถึง 30,000 องศาเซลเซียส การค้นพบนี้กำลังท้าทายความเข้าใจเดิม ๆ ของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่พ้นจากเขตแดนที่ดวงอาทิตย์คุ้มครอง
วอยเอเจอร์ 1 ถูกส่งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2520 และปัจจุบันกำลังล่องลอยอยู่ห่างจากโลกกว่า 24,000 ล้านกิโลเมตร ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ยานหยุดส่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่อ่านได้ แม้จะยังคงตอบสนองต่อคำสั่งจากโลกอยู่
วิศวกรได้สืบสาวต้นตอของปัญหาไปที่ชิปตัวหนึ่งในระบบย่อยข้อมูลการบิน (Flight Data Subsystem) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์หลักตัวหนึ่งบนยาน ชิปตัวนี้มีหน้าที่จัดเก็บซอฟต์แวร์ส่วนหนึ่ง และเมื่อมันเสียหาย วิธีที่วอยเอเจอร์บรรจุข้อมูลก่อนส่งมายังโลกก็ผิดเพี้ยนไป
ด้วยระยะทางที่ไกลเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ ทีมวิศวกรนาซาจึงคิดค้นวิธีการแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาด พวกเขาแบ่งรหัสที่เสียหายออกเป็นส่วน ๆ และย้ายแต่ละส่วนไปเก็บไว้ในส่วนหน่วยความจำที่ยังใช้งานได้ เมื่อวันที่ 18 เมษายน นาซาส่งรหัสใหม่นี้ไปยังวอยเอเจอร์ 1 ใช้เวลาเดินทาง 22.5 ชั่วโมง และเมื่อวิศวกรได้รับสัญญาณตอบกลับที่ใช้งานได้ในอีก 22.5 ชั่วโมงต่อมา ก็เป็นการยืนยันความสำเร็จของปฏิบัติการกู้ชีพ
บริเวณที่วอยเอเจอร์ 1 กำลังเดินทางอยู่คือพื้นที่นอกขอบเขตเฮลิโอพอส (Heliopause) ซึ่งเป็นเขตแดนที่ไกลที่สุดของระบบสุริยะที่ได้รับอิทธิพลจากลมสุริยะ แทนที่จะพบความสงบเงียบตามที่คาดการณ์ไว้ ยานกลับตรวจพบสภาวะที่คึกคักและรุนแรงกว่ามาก
“กำแพงไฟ” ที่ค้นพบนี้ไม่ใช่เปลวเพลิงแบบที่เราคุ้นเคยบนโลก แต่เป็นเขตแดนพลาสมาที่ร้อนระอุ ซึ่งความร้อนมหาศาล เกิดจากการที่อนุภาคความเร็วสูงจากดวงอาทิตย์ปะทะกับอนุภาคจากอวกาศระหว่างดาวอย่างรุนแรง
ปรากฏการณ์นี้ขับเคลื่อนด้วยกระบวนการการเชื่อมต่อใหม่ของสนามแม่เหล็ก (Magnetic Reconnection) ซึ่งสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์และสนามแม่เหล็กระหว่างดาวมาบรรจบกัน ปรับทิศทางใหม่ และปล่อยพลังงานออกมาอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอุณหภูมิจะสูงถึงขีดสุด วอยเอเจอร์ 1 ก็ยังคงเดินทางต่อไปได้อย่างปลอดภัย เพราะอวกาศในบริเวณนั้นเบาบางมากจนการชนกันของอนุภาคยังคงเกิดขึ้นได้ยาก
ปริศนาสนามแม่เหล็ก อิทธิพลของดวงอาทิตย์ที่ไปได้ไกลกว่าที่คิด
แบบจำลองทางวิทยาศาสตร์เดิมคาดการณ์ว่าสนามแม่เหล็กควรจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเมื่อยานเดินทางออกนอกเขตแดนสุริยะ (Heliosphere) แต่สิ่งที่วอยเอเจอร์ 1 สังเกตได้กลับเป็นการเชื่อมโยงอย่างต่อเนื่องระหว่างโครงสร้างสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์และโครงสร้างสนามแม่เหล็กระหว่างดาว
การค้นพบที่น่าประหลาดใจนี้ชี้ให้เห็นว่า อิทธิพลทางแม่เหล็กของดวงอาทิตย์อาจแผ่ขยายออกไปในกาแล็กซีได้ลึกกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้มาก ข้อมูลนี้ไม่เพียงแต่ให้ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับพฤติกรรมของสนามแม่เหล็กในกาแล็กซี แต่ยังมีผลกระทบที่สำคัญต่อการสร้างแบบจำลองสภาพอวกาศ (Space Weather) สภาพแวดล้อมของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ (Exoplanetary Environments) และการวางแผนภารกิจอวกาศในอนาคตด้วย
วอยเอเจอร์ 1 เดินทางสู่อนาคตต่อไป
ยานสำรวจอวกาศอายุเกือบห้าทศวรรษลำนี้ยังคงปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างน่าทึ่ง โดยใช้พลังงานน้อยกว่าหลอดไฟในบ้าน และมีแหล่งพลังงานพลูโตเนียมที่ยังคงหล่อเลี้ยงระบบสำคัญต่าง ๆ ได้ ด้วยการกู้คืนการส่งข้อมูลวิศวกรรมสำเร็จแล้ว นาซากำลังมุ่งหน้าสู่การฟื้นฟูความสามารถในการส่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของยานอย่างเต็มรูปแบบ
นักวิจัยคาดหวังว่าจะได้รับข้อมูลใหม่เกี่ยวกับรังสีคอสมิก (Cosmic Radiation) ความหนาแน่นของพลาสมา (Plasma Density) และการแปรผันของสนามแม่เหล็ก จากบริเวณที่ไม่เคยมีใครสำรวจมาก่อน ยานวอยเอเจอร์ 1 จึงยังคงเป็นดวงตาของมนุษยชาติในการสำรวจความลึกลับของอวกาศระหว่างดาวต่อไป
ข้อมูลอ้างอิง: Daily Galaxy
- Voyager 1 Reconnects With Earth — And Reveals A Mysterious Wall Of Fire At The Edge Of The Solar System