
จรวดอาเรียน (Ariane) ราชาแห่งการส่งดาวเทียม
จรวดอาเรียน (Ariane) เปรียบเสมือนม้าเหล็กคู่บุญขององค์การอวกาศยุโรป (European Space Agency) หรือ อีเอสเอ (ESA) ที่ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญในการบุกเบิกและสำรวจอวกาศมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาเรียน 4 (Ariane 4) จรวดรุ่นหลักที่ปฏิบัติภารกิจอย่างแข็งขันในช่วงปี ค.ศ. 1988 ถึง ค.ศ. 2003 ได้สร้างความสำเร็จอันน่าประทับใจด้วยการนำส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรถึง 113 ครั้ง
ต่อมา จรวดอาเรียน 5 (Ariane 5) ได้เข้ามาสานต่อภารกิจอันยิ่งใหญ่ และได้รับการยกย่องว่าเป็นจรวดชั้นเยี่ยมที่สามารถนำส่งดาวเทียมได้หลากหลายประเภทอย่างมีประสิทธิภาพ จรวดรุ่นนี้ได้สร้างสถิติอันน่าทึ่งในการนำส่งดาวเทียมโทรคมนาคมที่มีขนาดน้ำหนักมากที่สุดในโลก โดยหนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นคือการนำส่งดาวเทียมไทยคม 4 หรือ ไอพีสตาร์ (IPSTAR) ขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2548 ด้วยน้ำหนักเกือบ 6,500 กิโลกรัม
จรวดอาเรียน 5 แบ่งออกเป็น 2 ชุดหลัก ได้แก่ จรวดอาเรียน 5 อีซีเอ (Ariane 5 ECA) ซึ่งมีขีดความสามารถในการนำส่งสัมภาระที่มีน้ำหนักมากกว่า 10 ตัน ขึ้นสู่วงโคจรค้างฟ้า (Geostationary transfer orbit) หรือ จีทีโอ (GTO) และจรวดอาเรียน 5 อีเอส (Ariane 5 ES) ซึ่งได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการนำส่งในวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit) หรือ แอลอีโอ (LEO) และวงโคจรระดับกลาง เช่น การให้บริการนำส่งยานอวกาศไปยัง #สถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station) หรือ ไอเอสเอส (ISS) รวมถึงการนำส่งดาวเทียมระบุพิกัดต่างๆ
ด้วยความสูงประมาณ 17 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอก 5.4 เมตร จรวดอาเรียน 5 จึงได้รับการจัดว่าเป็นจรวดที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่สำหรับการนำส่งดาวเทียมเชิงพาณิชย์ ทำให้สามารถรองรับการนำส่งดาวเทียมได้ทุกประเภทที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงดาวเทียมที่มีแนวโน้มจะถูกพัฒนาขึ้นในอนาคต โดยใช้เวลาในการไต่ระดับขึ้นสู่วงโคจรค้างฟ้าประมาณ 25-35 นาที ซึ่งระยะเวลาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขั้นตอนการแยกชิ้นส่วนระหว่างการเดินทางสู่วงโคจร
อย่างไรก็ตาม ยุคสมัยแห่งอาเรียน 5 กำลังจะสิ้นสุดลง เมื่อองค์การอวกาศยุโรปได้พัฒนาจรวดรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีชื่อว่า อาเรียน 6 (Ariane 6) ซึ่งมีความสูงถึง 60 เมตร โครงการพัฒนานี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 และมีเป้าหมายเพื่อมาทำหน้าที่แทนจรวดอาเรียน 5 ที่ได้ถูกปลดระวางไปแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า จรวดอาเรียน 6 มีข้อได้เปรียบอย่างมากในด้านต้นทุนการผลิตและการปฏิบัติงานที่ลดลงถึงเท่าตัว นอกจากนี้ ยังสามารถเพิ่มจำนวนการยิงจรวดต่อปีจากเดิม 6-7 ครั้ง เป็นมากถึง 11 ครั้งต่อปี ทำให้สามารถรองรับการบรรจุดาวเทียมจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล่อยดาวเทียมในวงโคจรต่ำในรูปแบบของกลุ่มโครงข่ายดาวเทียม (Satellite Constellation) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน
หลังจากผ่านขั้นตอนการทดสอบต่างๆ อย่างเข้มงวด จรวดอาเรียน 6 มีกำหนดที่จะถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศเป็นครั้งแรกในช่วงเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม พ.ศ. 2568 ซึ่งถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการเดินทางสู่อวกาศของยุโรป ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและขีดความสามารถที่เหนือกว่า อาเรียน 6 จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจทางวิทยาศาสตร์ การสำรวจอวกาศ และการให้บริการด้านอวกาศเชิงพาณิชย์ต่อไปในอนาคต
อ้างอิงข้อมูล: Ariane Group
You may also like
เรื่องยอดนิยม
9 เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน ที่มาจากการสำรวจอวกาศ (3,460)
บัซ อัลดริน (Buzz Aldrin) นักบินอวกาศนาซา (3,179)
จีนเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจอวกาศห้วงลึก หลังจากเก็บตัวอย่างด้านไกลของดวงจันทร์ (2,760)
ดินดวงจันทร์จากยานฉางเอ๋อ 5 ในงาน อว. แฟร์ 22-28 ก.ค. 67 (2,716)
SpaceX กำหนดปล่อยภารกิจ Polaris Dawn จะมีการเดินอวกาศ (Spacewalk) โดยเอกชนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ (2,549)