
ยานวอยเอเจอร์ 1 (Voyager 1) ขององค์การนาซา ได้เฉลิมฉลองการครบรอบ 48 ปีของการเดินทางในอวกาศ หลังจากถูกส่งขึ้นจากโลกเมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2520 ยานสำรวจลำนี้ไม่เพียงแต่ปฏิวัติความเข้าใจของเราเกี่ยวกับดาวเคราะห์ยักษ์ในระบบสุริยะ แต่ยังคงเดินทางต่อไปในฐานะวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นที่อยู่ไกลที่สุด และเป็นทูตของมวลมนุษยชาติสู่จักรวาลอันกว้างใหญ่
ยานวอยาเจอร์ 1 เริ่มต้นภารกิจครั้งประวัติศาสตร์ด้วยการสำรวจดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ พร้อมด้วยยานคู่แฝดอย่างวอยเอเจอร์ 2 การเดินทางผ่านระบบดาวพฤหัสบดีในปี พ.ศ. 2522 ได้เปิดเผยข้อมูลที่สำคัญมากมาย รวมถึงการค้นพบดวงจันทร์ใหม่ 2 ดวง คือ ธีบี (Thebe) และเมทิส (Metis) และวงแหวนบางๆ รอบดาวพฤหัสบดีที่ไม่เคยมีใครสังเกตเห็นมาก่อน นอกจากนี้ยังได้ถ่ายภาพภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่บนดวงจันทร์ไอโอ (Io) ซึ่งเป็นการค้นพบภูเขาไฟนอกโลกที่ยังมีการปะทุเป็นครั้งแรก
จากนั้นในปี พ.ศ. 2523 วอยเอเจอร์ 1 ได้เดินทางต่อไปยังดาวเสาร์ และได้ทำการสำรวจอย่างใกล้ชิด เผยให้เห็นโครงสร้างอันซับซ้อนของวงแหวนดาวเสาร์ที่ประกอบด้วยวงแหวนย่อยๆ นับพันวง และค้นพบดวงจันทร์ใหม่อีก 3 ดวง หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจหลักในการสำรวจดาวเคราะห์แล้ว วอยเอเจอร์ 1 ได้ใช้แรงเหวี่ยงจากดาวเสาร์เพื่อมุ่งหน้าสู่ขอบนอกของระบบสุริยะ
ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 ยานวอยาเจอร์ 1 ได้สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง โดยกลายเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นที่อยู่ไกลที่สุด แซงหน้ายานไพโอเนียร์ 10 (Pioneer 10) และยังคงรักษาสถิตินี้มาจนถึงปัจจุบัน
จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของการเดินทางมาถึงในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2555 เมื่อวอยเอเจอร์ 1 เดินทางข้ามผ่านเขตเฮลิโอพอส (Heliopause) ซึ่งเป็นพรมแดนที่ลมสุริยะจากดวงอาทิตย์สิ้นสุดลง และเข้าสู่ปริภูมิ-เวลาระหว่างดาว (Interstellar Space-time) หรือ อวกาศระหว่างดาวฤกษ์อย่างเป็นทางการ การเดินทางครั้งนี้เป็นการเปิดศักราชใหม่ของการสำรวจอวกาศ ทำให้มนุษย์สามารถศึกษาข้อมูลโดยตรงจากสสารและสภาพแวดล้อมที่อยู่นอกเขตอิทธิพลของดวงอาทิตย์ได้เป็นครั้งแรก
สถานะปัจจุบันและการติดต่อสื่อสาร
ณ ปัจจุบัน ยานวอยเอเจอร์ 1 อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นระยะทางมากกว่า 25,000 ล้านกิโลเมตร และยังคงส่งข้อมูลอันล้ำค่ากลับมายังโลก แม้ว่าสัญญาณจะใช้เวลาเดินทางถึง 22 ชั่วโมงก็ตาม แม้จะเผชิญกับปัญหาด้านการสื่อสารเมื่อปลายปี พ.ศ. 2566 แต่วิศวกรของนาซาก็สามารถแก้ไขและกู้คืนการสื่อสารได้สำเร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2567 แสดงให้เห็นถึงความทนทานของเทคโนโลยีที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษก่อน
พลังงานของวอยเอเจอร์ 1 มาจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเทอร์โมอิเล็กทริกไอโซโทปรังสี (Radioisotope Thermoelectric Generator – RTG) ซึ่งใช้การสลายตัวของพลูโตเนียม-238 ในการผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม พลังงานนี้จะลดลงเรื่อยๆ และคาดว่านาซาจะต้องเริ่มปิดอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์บางส่วนลงในช่วงปี พ.ศ. 2568 ถึง 2573 เพื่อยืดอายุการใช้งานของยานให้นานที่สุด
ยานวอยเอเจอร์ 1 ไม่ได้เป็นเพียงยานสำรวจทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังบรรทุกแผ่นจานทองคำ (Golden Record) ซึ่งบันทึกภาพและเสียงต่างๆ ของโลก ตั้งแต่เสียงทักทายใน 55 ภาษา เสียงของธรรมชาติ ไปจนถึงบทเพลงคลาสสิก เพื่อเป็นสารจากมนุษยชาติถึงอารยธรรมอื่นที่อาจพบเจอมันในอนาคตอันไกลโพ้น
ในบรรดาเสียงทักทาย 55 ภาษาจากทั่วโลก มีเสียงภาษาไทยรวมอยู่ด้วย โดยเป็นเสียงของคุณรุจิรา เมนดิโอเนส (Ruchira Mendiones) กล่าวข้อความว่า “สวัสดีค่ะ สหายในธรณีโพ้น พวกเราในธรณีนี้ขอส่งมิตรจิตมาถึงท่านทุกคน”
นอกจากเสียงทักทายแล้ว ยังมีภาพที่สะท้อนถึงประเทศไทย 🇹🇭 รวมอยู่ด้วย ได้แก่ ภาพการจราจรในกรุงเทพมหานคร และภาพช่างฝีมือไทยกำลังแกะสลักไม้เป็นรูปช้าง ซึ่งเป็นการนำเสนอภาพชีวิตและวัฒนธรรมส่วนหนึ่งของโลกให้แก่จักรวาล
การเดินทางตลอด 48 ปีของวอยเอเจอร์ 1 คือบทพิสูจน์ถึงความใฝ่รู้และขีดความสามารถอันไร้ขีดจำกัดของมนุษย์ในการสำรวจสิ่งที่ไม่รู้จัก ยานลำนี้จะยังคงเดินทางต่อไปในความมืดมิดของห้วงอวกาศระหว่างดาวอีกนับหมื่นปี แม้ในวันที่มันจะเงียบหายไปตลอดกาล แต่เรื่องราวการเดินทางของมันจะยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้นักสำรวจรุ่นต่อไปเสมอ
ข้อมูลอ้างอิง: NASA Science
- Voyager 1