
เมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556 ณ ฐานปล่อยจรวดวัลลอปส์ (Wallops Flight Facility) รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา จรวด Minotaur V ได้นำส่งยานสำรวจของนาซาขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ท่ามกลางควันและแสงเพลิงของการปล่อยจรวด กล้องที่ติดตั้งไว้เพื่อบันทึกภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ได้จับภาพเงาของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่กระโจนขึ้นพร้อมกับจรวดโดยไม่ได้ตั้งใจ ภาพดังกล่าวกลายเป็นตำนานที่ผู้คนทั่วโลกขนานนามว่า กบจรวด (Rocket Frog) องค์การนาซาได้ออกมายืนยันในภายหลังว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพจริง ไม่ใช่ภาพตัดต่อ และคาดว่าแรงดันอากาศมหาศาลจากการปล่อยจรวดได้ทำให้เจ้ากบตัวนี้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างที่เห็นในภาพ แม้ชะตากรรมของมันจะไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เรื่องราวของมันก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์เล็ก ๆ ที่น่าจดจำของการสำรวจอวกาศ
และในโอกาสครบรอบ 12 ปีของเหตุการณ์นี้ จะพาย้อนกลับไปสำรวจความสำคัญของภารกิจในวันนั้น ภารกิจเลดี (LADEE) ซึ่งเป็นมากกว่าแค่เรื่องเล่าของเจ้ากบผู้โด่งดัง
ยานเลดี (LADEE – Lunar Atmosphere and Dust Environment Explorer) ถูกออกแบบมาเพื่อตอบคำถามที่ค้างคาใจนักวิทยาศาสตร์มานานตั้งแต่ยุคอะพอลโล นั่นคือธรรมชาติของชั้นบรรยากาศที่เบาบางอย่างยิ่งของดวงจันทร์ หรือที่เรียกว่า “เอ็กโซสเฟียร์” (exosphere) และพฤติกรรมของฝุ่นบนพื้นผิว หลังจากปฏิบัติภารกิจทางวิทยาศาสตร์นานกว่า 100 วัน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง ในที่สุดยานเลดีก็สิ้นสุดภารกิจในเดือนเมษายน พ.ศ. 2557 โดยทีมควบคุมได้บังคับให้ยานพุ่งชนพื้นผิวด้านไกลของดวงจันทร์ตามแผนที่วางไว้
ข้อมูลจากยานเลดีเกี่ยวกับความหนาแน่น การกระจายตัว และคุณสมบัติทางไฟฟ้าของฝุ่นที่ระดับความสูงต่าง ๆ ช่วยให้วิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ของนาซาสามารถออกแบบชุดอวกาศรุ่นใหม่ ระบบกรองอากาศสำหรับที่อยู่อาศัย และเทคโนโลยีสำหรับปัดเป่าฝุ่น (dust mitigation) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้โดยตรง มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโครงการอาร์ทิมิส ซึ่งมีเป้าหมายในการส่งมนุษย์กลับไปเหยียบดวงจันทร์และจัดตั้งฐานที่มั่นในระยะยาว เพราะฝุ่นดวงจันทร์หรือรีโกลิธ (regolith) คือหนึ่งในอุปสรรคที่อันตรายที่สุด
ภารกิจเลดีจึงไม่ได้เป็นที่จดจำเพียงเพราะภาพกบจรวดเท่านั้น แต่ยังเป็นภารกิจผู้บุกเบิกที่มอบความรู้สำคัญ ช่วยปูทางให้มนุษยชาติสามารถกลับคืนสู่ดวงจันทร์ได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืนในยุคของอาร์ทิมิส
เครดิตภาพ: NASA/Chris Perry