
มีความผิดปกติเกิดขึ้นใต้โลกอย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีใครรู้สึก จนกระทั่งดาวเทียมตรวจจับได้ ทีมนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ปรากฏการณ์นี้เป็นผลมาจากการบีบอัดของหินลึกใต้พื้นผิวหลายพันกิโลเมตร ซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงแก่นโลก และกระทบต่อสนามแม่เหล็กโลกที่เราใช้อยู่ก็เป็นได้
เมื่อเกือบสองทศวรรษที่แล้ว ในช่วงปี พ.ศ. 2549 ถึง 2551 (ค.ศ. 2006 ถึง 2008) สนามความโน้มถ่วง (Gravity) ของโลกเราได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอย่างเป็นปริศนาการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบจนไม่มีใครสังเกตได้จากพื้นผิวโลก แต่ดาวเทียมคู่แฝด GRACE (Gravity Recovery and Climate Experiment) ซึ่งเป็นภารกิจร่วมกันระหว่างเยอรมนีและสหรัฐอเมริกา ได้ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนของแรงดึงดูดนี้ไว้ได้
นักวิทยาศาสตร์งุนงงกับเรื่องนี้มานาน แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลเกือบ 20 ปี ล่าสุดนี้ งานวิจัยชิ้นใหม่ชี้ว่า จุดกำเนิดของความผิดปกตินี้ไม่ได้อยู่บนผิวน้ำหรือผิวน้ำแข็งแต่อยู่ลึกหลายพันกิโลเมตร ณ บริเวณรอยต่อระหว่างเนื้อโลก (Mantle) และแก่นโลกชั้นนอก (Outer Core)
ทีมนักธรณีฟิสิกส์ พบว่า ความผิดปกตินี้เกิดขึ้นในบริเวณนอกชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกา พวกเขาเชื่อว่า สาเหตุหลักน่าจะมาจากการเปลี่ยนโครงสร้างทางกายภาพของหินภายใต้ความดันมหาศาล ซึ่งน่าจะเป็นการเปลี่ยนสถานะของเฟส (Phase Transition) ในแร่ที่มีชื่อว่า เพโรฟสไกต์ (perovskite) ซึ่งมีอยู่มากในเนื้อโลกชั้นล่าง
นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานไว้ 3 ข้อว่า
- แร่เพโรฟสไกต์ เมื่ออยู่ภายใต้ความกดดันสุดขีด ก็จะสามารถเปลี่ยนรูปไปเป็นโครงสร้างที่หนาแน่นกว่าเดิมได้
- การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดการกระจายตัวของมวลโดยรอบใหม่ นักวิทยาศาสตร์เปรียบเทียบว่า เหมือนกับการบีบฟองน้ำและสังเกตว่าน้ำที่อยู่ภายในมีการเคลื่อนที่อย่างไร
- การเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นของมวลที่ฐานของเนื้อโลกนี้เองที่ทำให้สนามความโน้มถ่วงของโลกเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นักวิทยาศาสตร์ยังให้ข้อสันนิษฐานที่น่าตื่นเต้นต่อไปว่า การเปลี่ยนแปลงมวลในเนื้อโลกนี้อาจส่ง “คลื่นความเค้น” ลงไปสู่ชั้นที่อยู่ลึกลงไป และอาจทำให้แก่นโลกชั้นนอก ซึ่งเป็นเหล็กและนิกเกิลหลอมเหลวเกิดการเปลี่ยนรูปอย่างชั่วคราวได้มากถึง 10 เซนติเมตร แม้ 10 เซนติเมตรจะฟังดูเล็กน้อย แต่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่านี่คือการกระตุกครั้งใหญ่ในระดับดาวเคราะห์
เนื่องจากแก่นโลกชั้นนอกที่กำลังไหลเวียนอยู่คือส่วนสำคัญในการสร้าง #สนามแม่เหล็กโลก (Geomagnetic Field) หากการไหลเวียนนี้เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบต่อสนามแม่เหล็กโลกที่เราใช้อยู่ได้ในทางทฤษฎี นักแผ่นดินไหววิทยาที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในงานวิจัยนี้กล่าวว่า นี่คือหลักฐานที่น่าเชื่อถือครั้งแรกของกระบวนการไดนามิกที่รวดเร็ว ณ ฐานของเนื้อโลก และเร็วพอที่จะสังเกตได้ในมาตราเวลาของมนุษย์
ความท้าทายในการทำความเข้าใจการทำงานภายในโลกที่ลึกมาก ๆ ยังคงอยู่ เนื่องจากเราไม่สามารถเจาะลงไปถึงขอบเขตระหว่างเนื้อโลกและแก่นโลกได้ ข้อมูลความโน้มถ่วงที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองข้ามจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการอนุมานสิ่งที่เกิดขึ้นในความลึกที่เข้าไม่ถึง
สิ่งที่ต้องติดตามต่อไปคือ การเปลี่ยนแปลงของความโน้มถ่วงในลักษณะนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวหรือไม่ หรือเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบวัฏจักรที่ใหญ่กว่า หากมีการตรวจพบความผิดปกติเหล่านี้เพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลกจริง ๆมันอาจจะ พลิกโฉมแบบจำลอง ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการทำความเข้าใจกลไกขับเคลื่อนภายในของโลกไปทั้งหมดเลยทีเดียว
ข้อมูลอ้างอิง: Daily Galaxy
- Between 2006 and 2008, Something in the Bowels of the Earth Altered Its Gravity— and Left No Trace Until Now