ข่าวอวกาศ

องค์การอวกาศยุโรปส่งสัญญาณเตือนภัย! เปิดตัวดัชนีสุขภาพอวกาศ ชี้วัดวิกฤตขยะเต็มวงโคจร

องค์การอวกาศยุโรป (ESA) ได้เปิดตัวเครื่องมือชี้วัดใหม่ในรายงานสภาพแวดล้อมอวกาศประจำปี เรียกว่า “ดัชนีสุขภาพสภาพแวดล้อมในอวกาศ” (Space Environment Health Index) ซึ่งเป็นตัวเลขที่สรุปสถานะของวงโคจรรอบโลกได้ทั้งหมด เพื่อส่งสัญญาณเตือนถึงภาวะแออัดและมลพิษจากขยะอวกาศ ที่กำลังเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว และกระตุ้นให้เกิดการดำเนินการอย่างเร่งด่วน

สถานการณ์ในวงโคจรรอบโลกกำลังน่าเป็นห่วงมากขึ้นทุกวัน การเพิ่มขึ้นของดาวเทียมและขยะอวกาศทำให้ความเสี่ยงในการชนกันสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ESA จึงพัฒนาดัชนีนี้ขึ้นเพื่อเป็นภาษากลางที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ และใช้ประเมินผลกระทบจากกิจกรรมต่างๆ ในอวกาศได้อย่างเป็นรูปธรรม

ทำไมต้องมีมาตรวัด?

เพื่อให้วงโคจรของโลกปลอดภัยและยั่งยืน เราจำเป็นต้องมีวิธีวัดสุขภาพโดยรวมของมัน คล้ายกับที่นักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศใช้อุณหภูมิเป็นตัวชี้วัดสำคัญของภาวะโลกร้อน วงการอวกาศก็ต้องการมาตรวัดที่ชัดเจนและจับต้องได้เพื่อประเมินผลกระทบของดาวเทียมแต่ละดวงที่มีต่อความยั่งยืนของวงโคจรเช่นกัน

ดัชนีสุขภาพสภาพแวดล้อมในอวกาศนี้ทำหน้าที่เป็นเหมือนเกรดที่ให้คะแนนว่า วงโคจรของเรามีสุขภาพดีหรือกำลังอยู่ในภาวะเครียดแค่ไหน และจะส่งผลกระทบอย่างไรในอีก 200 ปีข้างหน้า แม้ตัวเลขเพียงตัวเดียวจะไม่สามารถอธิบายความซับซ้อนทั้งหมดได้ แต่มันก็ช่วยให้การสนทนาในระดับนโยบายเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดัชนีนี้ทำงานอย่างไร?

ดัชนีดังกล่าวกลั่นกรองปัจจัยที่ซับซ้อนออกมาเป็นคะแนนเดียว โดยพิจารณาจากคุณสมบัติของวัตถุแต่ละชิ้นในอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นดาวเทียมดวงใหม่หรือขยะอวกาศที่มีอยู่เดิม ซึ่งแต่ละคุณสมบัติจะส่งผลต่อคะแนนในทางบวกหรือลบแตกต่างกันไป ได้แก่

  • ขนาดและรูปร่าง วัตถุมีขนาดใหญ่แค่ไหน?
  • อายุในวงโคจร วัตถุจะตกกลับสู่โลกหรือถูกกำจัดได้เร็วเพียงใด?
  • ความสามารถในการหลีกเลี่ยงการชน วัตถุสามารถเคลื่อนที่หลบหลีกเพื่อป้องกันการชนได้หรือไม่?
  • มาตรการป้องกันการระเบิด วัตถุถูกทำให้ปลอดภัยจากการระเบิดหลังสิ้นสุดภารกิจแล้วหรือยัง?
  • ความเสี่ยงในการแตกกระจาย มีโอกาสมากน้อยเพียงใดที่วัตถุจะแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและสร้างขยะเพิ่ม?

เมื่อรวมปัจจัยเหล่านี้เข้าด้วยกัน จะได้คะแนนที่บ่งชี้ถึงผลกระทบด้านลบต่อสภาพแวดล้อม ยิ่งคะแนนสูง หมายถึงยิ่งส่งผลกระทบในทางลบมาก ในทางกลับกัน คะแนนที่ต่ำสะท้อนถึงพฤติกรรมที่ยั่งยืนกว่า คล้ายกับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 บนเครื่องใช้ไฟฟ้า ในอนาคต ภารกิจอวกาศอาจได้รับการจัดเกรด “A” ด้านความยั่งยืน เพื่อเป็นมาตรฐานที่ชัดเจนสำหรับผู้ดำเนินการและหน่วยงานกำกับดูแล

สถานการณ์ปัจจุบันยังน่าเป็นห่วง

ค่ามาตรฐานของดัชนีนี้อยู่ที่ระดับ 1 ซึ่งถือเป็นเกณฑ์สำหรับความยั่งยืนในระยะยาว หากค่าสูงกว่านี้หมายความว่าสภาพแวดล้อมในอวกาศจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นเรื่อยๆ และอาจไม่มั่นคงพอสำหรับการปฏิบัติภารกิจในที่สุด

เกณฑ์มาตรฐานที่ระดับ 1 นี้ อ้างอิงจากแนวทางของคณะกรรมการประสานงานด้านขยะอวกาศระหว่างหน่วยงาน (IADC) ในปี 2014 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่กลุ่มดาวเทียมขนาดใหญ่ (Large Constellations) จะได้รับความนิยม แต่แม้แต่ในตอนนั้น การคาดการณ์ก็ชี้ว่าอนาคตมีความเสี่ยงสูงกว่าระดับที่พึงประสงค์ถึง 3 เท่าแล้ว

น่าตกใจที่ปัจจุบัน ดัชนีสุขภาพอวกาศพุ่งไปอยู่ที่ระดับ 4 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ความยั่งยืนไปไกลมาก นี่แสดงให้เห็นว่าแม้ผู้ให้บริการดาวเทียมหลายรายจะเริ่มใช้มาตรการบรรเทาปัญหาขยะอวกาศแล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ และจำเป็นต้องมีการดำเนินการที่เข้มแข็งกว่านี้อีกมาก

หลายคนอาจสงสัยว่าหากปัญหาร้ายแรงจะเกิดขึ้นในอีก 200 ปีข้างหน้า ทำไมเราไม่รอแก้ไขในภายหลัง? ความจริงก็คือปัญหานี้เป็นเรื่องเร่งด่วน วัตถุทุกชิ้นที่ถูกส่งขึ้นไปในวันนี้จะเพิ่มความเสี่ยงสะสมไปเรื่อยๆ การแตกกระจายของดาวเทียมในวันนี้จะส่งผลกระทบไปอีกหลายทศวรรษ

ก่อนที่อวกาศจะใช้งานไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ต้นทุนในการปฏิบัติภารกิจในอวกาศจะพุ่งสูงขึ้นมหาศาล วงโคจรบางแห่งอาจไม่สามารถเข้าถึงได้อีกต่อไป ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภารกิจอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมซึ่งต้องการมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด

ดัชนีสุขภาพสภาพแวดล้อมในอวกาศนี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราลงมือทำได้ทันทีโดยทำให้ “ความยั่งยืน” เป็นสิ่งที่วัดผลได้ มันแสดงให้เห็นว่าความพยายามอย่างจริงจัง เช่น แนวทางขยะอวกาศเป็นศูนย์ภายในปี 2030 (Zero Debris by 2030) ของ ESA มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาสิทธิ์ในการเข้าถึงอวกาศของเราต่อไปในอนาคต


ข้อมูลอ้างอิง: European Space Agency

  • Sounding the alarm: ESA introduces space environment ‘health index’