
This image of Uranus’ aurorae was taken by the NASA/ESA Hubble Space Telescope on 10 October 2022. These observations were made by the Space Telescope Imaging Spectrograph (STIS) and includes both visible and ultraviolet data. An international team of astronomers used Hubble to make new measurements of Uranus' interior rotation rate by analysing more than a decade of the telescope’s observations of Uranus’ aurorae. This refinement of the planet’s rotation period achieved a level of accuracy 1000 times greater than previous estimates and serves as a crucial new reference point for future planetary research. [Image description: This Hubble image shows Uranus and dynamic aurora activity on 10 October 2022. The centered planet is dominated by a blue hue and a large white region in the lower left. A faint ring is also visible around the planet. Fuzzy blue/purple regions hovering over the planet on the left and ride indicate the presence of aurorae.]
ภาพระยะใกล้ของปรากฏการณ์แสงออโรรา (Aurorae) บนดาวยูเรนัส (Uranus) ถูกบันทึกไว้โดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble Space Telescope) ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) และองค์การอวกาศยุโรป (ESA) เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2565 การสังเกตการณ์นี้ดำเนินการโดยอุปกรณ์สเปกโทรกราฟถ่ายภาพกล้องโทรทรรศน์อวกาศ (Space Telescope Imaging Spectrograph: STIS) และครอบคลุมข้อมูลทั้งในย่านแสงที่มองเห็นได้ (visible) และรังสีอัลตราไวโอเลต (ultraviolet)
ทีมนักดาราศาสตร์นานาชาติได้ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลในการวัดอัตราการหมุนรอบตัวเองภายในของดาวยูเรนัสใหม่ โดยวิเคราะห์ข้อมูลการสังเกตการณ์แสงออโรราของดาวยูเรนัสเป็นเวลากว่าทศวรรษ การปรับปรุงค่าคาบการหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์ในครั้งนี้มีความแม่นยำมากขึ้นถึง 1,000 เท่า เมื่อเทียบกับการประมาณการครั้งก่อนๆ และถือเป็นจุดอ้างอิงใหม่ที่สำคัญสำหรับการวิจัยดาวเคราะห์ในอนาคต
ปรากฏการณ์แสงออโรรา หรือแสงเหนือ-ใต้ เกิดจากการที่อนุภาคมีประจุพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์ (solar wind) เคลื่อนที่มาตามสนามแม่เหล็กของดาวเคราะห์ และชนกับอะตอมและโมเลกุลในชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดการเรืองแสงที่มีสีสันสวยงาม การศึกษาแสงออโรราบนดาวยูเรนัสช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจถึงสนามแม่เหล็กและบรรยากาศของดาวเคราะห์น้ำแข็งยักษ์ดวงนี้ได้ดียิ่งขึ้น
เครดิตภาพ: ESA/Hubble, NASA, L. Lamy, L. Sromovsky