ในเช้าตรู่ของเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025 อดัม โบรุคกี้ (Adam Borucki) ตื่นขึ้นมาพบกับสิ่งที่น่าตกใจอยู่ด้านหลังโกดังเก็บสินค้าของเขาในประเทศโปแลนด์ นั่นคือ ถังโลหะที่ไหม้เกรียมขนาดประมาณ 1.5 เมตร ตกกระแทกพื้นสนามหญ้า สร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าและแท่นคอนกรีต ชิ้นส่วนที่ตกลงมานี้คือส่วนหนึ่งของจรวดฟอลคอน 9 (Falcon 9) ของบริษัทสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ที่ไม่สามารถควบคุมการกลับสู่ชั้นบรรยากาศให้ตกลงในมหาสมุทรแปซิฟิกได้ตามแผน โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่เหตุการณ์นี้ได้จุดประเด็นคำถามที่น่าสนใจว่า “ใครจะเป็นผู้จ่ายค่าเสียหายเมื่ออุปกรณ์อวกาศของบริษัทเอกชนตกลงใส่ทรัพย์สินของคุณ?”
กฎหมายอวกาศ 50 ปี กับความจริงในยุคธุรกิจอวกาศ
คำตอบสำหรับคำถามดังกล่าวกลับไม่ตรงไปตรงมา งานวิเคราะห์ล่าสุดโดย เอลิซา เลโอนี (Elisa Leoni) ชี้ให้เห็นว่า อนุสัญญาว่าด้วยความรับผิดระหว่างประเทศสำหรับความเสียหายที่เกิดจากวัตถุอวกาศ ค.ศ. 1972 (Convention on International Liability for Damage Caused by Space Objects) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาหลักในการกำกับดูแลเรื่องนี้ กำลังประสบปัญหาอย่างหนักในการรับมือกับอุตสาหกรรมอวกาศเชิงพาณิชย์ในปัจจุบัน
เมื่อครั้งที่ร่างสนธิสัญญานี้ขึ้นมานั้น มีเพียงรัฐบาลเท่านั้นที่เป็นผู้ปล่อยจรวด ดังนั้น ตามหลักการของอนุสัญญาฯ รัฐต้องรับผิดชอบระหว่างประเทศต่อความเสียหายที่เกิดจาก “วัตถุอวกาศ” (Space Objects) แม้ว่าจะเป็นการปฏิบัติการโดยบริษัทเอกชนก็ตาม

ในกรณีของชิ้นส่วนจรวดฟอลคอน 9 ตกที่ด้านหลังโกดังเก็บสินค้าของนายโบรุคกี้ หากต้องการค่าชดเชย ประเทศโปแลนด์จะต้องเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อสหรัฐอเมริกา ในฐานะ “รัฐผู้ปล่อย” (Launching State) เนื่องจาก SpaceX ได้ปล่อยจรวดจากรัฐแคลิฟอร์เนีย
ช่องว่างทางกฎหมายที่ผู้เสียหายไม่มีสิทธิ์ฟ้องตรง
กรอบการทำงานแบบ “รัฐต่อรัฐ” (State to State) นี้สร้างปัญหาสำคัญในยุคที่การบินอวกาศเชิงพาณิชย์ครองตลาด เนื่องจากเหยื่ออย่างนายโบรุคกี้ ไม่มีสิทธิทางกฎหมายโดยตรงภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศในการเรียกร้องค่าเสียหาย พวกเขาต้องหวังพึ่งให้รัฐบาลของตนตัดสินใจดำเนินการเรียกร้องในนามของพวกเขา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ขึ้นอยู่กับความเต็มใจทางการเมืองมากกว่าสิทธิทางกฎหมาย
อนุสัญญาฯ ฉบับนี้ไม่ได้ระบุบทบัญญัติใด ๆ ให้บุคคลหรือบริษัทสามารถเรียกร้องค่าชดเชยโดยตรงได้เลย ทำให้พลเมืองเอกชนตกอยู่ในสถานะที่เปราะบางอย่างยิ่งในยุคของการสำรวจอวกาศโดยเอกชน
กิจกรรมอวกาศพุ่งสูง ภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น
จังหวะเวลาของประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ต้นทุนการปล่อยจรวดลดลงอย่างมาก ทำให้เกิดกิจกรรมในวงโคจรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันดาวเทียมหลายพันดวงโคจรอยู่รอบโลก โดยมีบริษัทต่าง ๆ เช่น SpaceX ส่งกลุ่มดาวเทียมขนาดใหญ่ (Massive Constellations) ขึ้นสู่อวกาศมากขึ้น

การปล่อยที่มากขึ้นย่อมหมายถึงโอกาสที่ชิ้นส่วนอวกาศจะรอดจากการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ (Atmospheric Reentry) และตกถึงพื้นโลกมากขึ้น แต่กรอบความรับผิดชอบยังคงยึดติดอยู่กับสมมติฐานยุคสงครามเย็นเกี่ยวกับผู้ปฏิบัติการในอวกาศ
งานวิจัยของเลโอนีเน้นย้ำว่า บางประเทศกำลังแก้ไขช่องว่างเหล่านี้ด้วยกฎหมายภายในประเทศ เช่น กฎหมายอวกาศของประเทศอิตาลี ปี 2025 (Italy’s 2025 Space Law) ซึ่งได้กำหนดมาตรการดังนี้
- กำหนดให้ผู้ประกอบการด้านอวกาศต้องทำประกันภัย
- อนุญาตให้ผู้ได้รับความเสียหายสามารถยื่นข้อเรียกร้องโดยตรงกับบริษัทประกันภัยได้
- ให้สิทธิพลเมืองอิตาลีในการเรียกร้องค่าชดเชยจากรัฐของตนเองได้ แม้จะไม่มีการดำเนินการเรียกร้องระหว่างประเทศก็ตาม
เหตุการณ์ที่โปแลนด์เป็นอุทาหรณ์สำคัญ ซึ่ง SpaceX ได้ออกมาชี้แจงภายหลังว่า พบการรั่วไหลของออกซิเจนเหลวทำให้จรวดท่อนที่สองไม่สามารถจุดระเบิดเพื่อควบคุมการกลับลง (Deorbit Burn) ได้ เป็นเหตุให้วัตถุอวกาศกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศอย่างไม่สามารถควบคุมได้ (Uncontrolled Reentry)
ปัจจุบัน ขยะอวกาศ (Space Debris) กลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศหลายครั้งในแต่ละเดือน ส่วนใหญ่จะถูกเผาไหม้หมดไป แต่ชิ้นส่วนขนาดใหญ่ก็มีแนวโน้มที่จะตกลงถึงพื้นโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่กิจกรรมอวกาศเชิงพาณิชย์เติบโตมากขึ้น ช่องว่างระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศที่มีอยู่กับความเป็นจริงของการปฏิบัติการก็ยิ่งกว้างขึ้น ทำให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตต้องเผชิญกับช่องว่างทางกฎหมายที่สนธิสัญญา 50 ปี ไม่เคยคาดการณ์ไว้
ข้อมูลอ้างอิง: Universe Today
- When Space Junk Comes Home